พูดคุยกับวิคเตอร์ ชัชชวิศ กับเส้นทางการแสดงใน Happy Monday(S) บทบาทที่อยากลอง ความหลงใหลในเครื่องราง และการค้นพบแพสชันใหม่ในงานช่าง ที่ไม่ใช่แค่ลองเล่น แต่จริงจังถึงขั้นเปิดทีมเซอร์วิสแอร์
MF: แนะนำตัวกับชาว Men’s Folio Thailand
วิคเตอร์: สวัสดีครับผม วิคเตอร์ ชัชชวิศ เตชะรักษ์พงศ์ ครับผม
MF: พูดถึงเรื่อง Happy Monday(S) สวัสดีวันจันทร์(ส)
วิคเตอร์: ก็ Happy Monday(S) สวัสดีวันจันทร์(ส) เป็นภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ดราม่า มีความเป็น coming of age หน่อยๆ ครับผม จะมีความเป็นแฟนตาซีอยู่ด้วยในเรื่องเป็นกิมมิกนะครับ แล้วก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมุมมองของเอิร์ธซึ่งเป็นพระเอกก็คือเป็นโอบ นิธิ ก็จะมีเพื่อนๆ ที่อยู่ในจักรวาลในหนังนั้นก็จะมีผมด้วย มีน้องพีพี มีน้องปูน ก็จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น คือเอิร์ธเนี่ยวันนึงเขาติดลูป ตื่นมาอยู่ในทุกๆ วันจันทร์ มันเลยชื่อเรื่องว่าสวัสดีวันจันทร์ครับ ซึ่งพอคนเรามันติดลูป หลายคนก็จะพยายามอยากออกจากลูปครับ พยายามที่จะกลับมาในแบบปัจจุบันให้ได้ แต่ว่าสิ่งที่ไอ้เนี่ยมันเป็นก็คือ ด้วยความที่เอิร์ธเนี่ยในเรื่องมันมีความที่ค่อนข้างเป็นมนุษย์ Loser คนนึง เพราะงั้นเวลาที่ติดลูปมันกลับชอบใจ ดันชอบว่า เฮ้ย! อาศัยจังหวะนี้ โอกาสนี้ในการทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นหรือว่าทำให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่างเช่นพอเรารู้ว่าติดลูปปุ๊บ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น มันก็จะดักรอเลยว่าหวยออกวันนี้ ออกเลขอะไร ตื่นมาวันเดิมก็ไปซื้อเลขที่มันรู้แต่แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นของฟรี ของดีทุกอย่างในโลก มันก็จะต้องไปเจอปัญหาหรือว่าเหรียญอีกหน้านึงของการกระทำแบบนี้ในเรื่องๆ นี้ครับผม
MF: อยากให้เล่าถึงบทบาทที่ได้รับ
วิคเตอร์: บทบาทที่ผมได้รับคือผมเป็นเพื่อนสนิทของมันเลยในเรื่องนี้ ทุกๆ วันที่มันตื่นมาเนี่ยจะเจอหน้าผมคนแรกในเรื่อง นั่นแหละคือคนดูก็จะเซนส์อะไรบางอย่างแล้ว เพราะว่าในเรื่องเนี่ยผมเป็นเพื่อนสนิทกับเขาด้วยความที่เมื่อกี้ผมบอกว่า เอิร์ธหรือว่าตัวละครในเรื่องเนี่ย มันติด Loser หน่อยๆ ส่วนผมก็จะเป็นคนธรรมดา ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเป็นลูป คือสำหรับเอิร์ธ เขารู้ว่านี่มันเป็นลูปแต่สำหรับผมไม่ ผมก็คือตื่นมา เอิร์ธ ไป เราไปกินข้าวกัน ในทุกๆ วันจันทร์ ซึ่งผมก็จะไม่รู้ ผมก็จะใช้ชีวิตของผมไป ดำเนินเรื่องตามปกติไป มันก็จะเป็นตัวละครสองตัวที่จะให้คนดูรู้สึกได้ชัดเจนว่าคนนึงใช้ชีวิตปกตินะ ตาม Timeline แต่อีกคนนึงใช้ชีวิตแบบติดลูป ผมก็จะเป็นตัวแบบว่าให้คนดูแบบเกิดการเปรียบเทียบในหนังเรื่องนี้ครับ
MF: แอบได้ยินมาว่าวิคเตอร์ตัวจริงเป็นคนเล่นเครื่องลางของขลัง
วิคเตอร์: ไม่ใช่เชิงเล่นสะสมหรอกครับ ผมไม่ได้มีแบบว่าองค์สมเด็จโตที่แพงอะไรขนาดนั้น แค่รู้เพราะว่าผมเคยทำเป็นรายการสารคดีชื่อว่า ไทยทึ่ง ตอนนี้ไม่มีแล้วนะแต่ในยูทูปยังมีอยู่ ก็ไปดูกันได้นะครับ ผมก็ไปตามวัด ตามแบบสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของประเทศไทย แล้วก็ได้ไปคุยกับพระอาจารย์ ไปคุยกับคนที่เขารอบรู้เรื่องพวกนี้ก็เลยได้ความรู้พวกนี้มาบ้าง พอในหนังเรื่องนี้คาแรกเตอร์ของผมเป็นสายมู เราก็จะรู้ว่าคำพูดคำจาเขาจะใช้อะไรยังไงบ้าง เมตตามหานิยมก็จะรู้ เวลาอ่านบทก็จะกลืนบทได้ง่ายกว่าครับ
MF: ในอนาคตมีบทบาทไหนที่อยากแสดงอีกบ้าง
วิคเตอร์: ผมอยากเล่นบทอันนี้คือเคยคิดมานานแล้ว เคยมีรายการถามผมด้วยว่ามีบทอะไรอยากจะเล่นอีกไหม ผมอยากเล่นบทโรคจิต ยังไงก็ได้ขอให้เป็นคนที่แบบมีความไซโคพาธ มีความแบบว่าย้อนแย้งทางการกระทำ แล้วก็ความคิด หรือว่าเป็นอีกคาแรกเตอร์นึงไปเลย เป็นไบโพลาร์ไปเลย ผมอยากเล่นอะไรที่มันท้าทายทางความคิดทางสมองของเรา
MF: นอกจากบทบาทที่อยากแสดงแล้วยังมีอะไรยังไม่เคยทำแล้วอยากลองทำ
วิคเตอร์: จริงๆ ตอนนี้ผมเป็นคนที่กำลังอยู่ในโปรเซสนี้ของชีวิตเลยแหละ คือช่วงนี้ผมก็พยายามทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน กำลังทำอยู่เลยด้วยซ้ำนะครับ ก็เลยรู้สึกว่าโอเคเดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ทยอยได้ทำแหละ อย่างเช่น ช่างแอร์ หลายๆ คนถ้าดูในไอจีผม ติ๊กต็อก ก็จะเห็นว่าผมแบบว่าทำงานล้างแอร์ ทำงานแบบเซอร์วิสแอร์ เพิ่งมาค้นพบตอนแก่ว่าชอบงานช่าง ช่างไฟ ช่างแอร์ ซ่อมบ้าน ซ่อมอะไรต่างๆ ครับ แล้วก็อยากจะเอามาทำเป็นอาชีพ ตอนนี้ผมก็เริ่มแล้วนะ เริ่มมีทีมช่างของตัวเอง คุมงานเซอร์วิสแอร์หาลูกค้า แต่ว่ายังไม่ได้ลงโซเชียลอะไร ก็น่าจะสักประมาณกลางปีน่าจะได้เห็นกันครับ
MF: จุดเริ่มต้นของการที่เราชอบล้างแอร์คืออะไร
วิคเตอร์: คือผมเห็นภาพตัวเองตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าเราอยากโตขึ้น วันนึงสมมุติถ้าเราอายุมากขึ้นใช่ไหมครับ เราอยากใช้ชีวิตเหมือนเป็นพ่อบ้านอเมริกา ถ้าเกิดใครที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาหรือว่าอยู่ต่างประเทศนานๆ เราจะรู้ว่าเวลาบ้าน ท่อรั่ว ท่อตัน แอร์เสีย น้ำหยด ตู้เย็นพัง ถ้าเกิดเราจะเรียกช่างมาซ่อมบ้าน หรือทำสวนมันแพงมากครับ ค่าของชีพบ้านเขามันแพง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้ว พ่อบ้านต่างประเทศเขาจะไปพวก Walmart ซื้อของซื้ออุปกรณ์มาทำเอง ซ่อมแซมเอง เทปูนเอง ทำทุกอย่างเอง ซ่อมไฟเอง เพราะว่าทุกอย่างมันแพงมากในประเทศนั้น เราจะเห็นว่าทุกคนแทบจะทำอะไรได้ด้วยตัวเองนะครับ โดยเฉพาะพ่อบ้าน ซ่อมรถซ่อมอะไรต่างๆ ถ้าเห็นในภาพยนตร์ก็จะเห็นอยู่ ผมรู้สึกว่าคนไทยเราไม่ได้เติบโตมาในวัฒนธรรมแบบนั้น เพราะเรารู้สึกว่าแอร์เสีย เราเรียกช่างในราคาไม่กี่ร้อยช่างก็มาแล้ว ผมเริ่มต้นจากอย่างนั้น แค่ว่าเห็นภาพว่าตัวเองอยากจะซ่อมแซมนู่นซ่อมแซมนี่เป็น ตอนอายุมากขึ้น ก็เลยไปลงเรียน หาเวลาว่างไปเรียนครับ ก็เสิร์ชเหมือนที่ทุกคนเสิร์ชแหละ เปิดแบบหาคอร์สระยะสั้น หรือว่าลงเรียนฝึกสอนพวกศิลปาชีพ ก็ไปลงเรียนรวมกับเขาครับ ไม่ได้เรียนไพรเวทไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าเราจะได้เห็นแล้วว่าคนอื่นที่เขาแบบสายนี้อยู่แล้ว เขาทำกันยังไง มันจะทำให้เราเป็นเร็วขึ้น ผมก็เลยเอาช่วงเวลาว่างจากการถ่ายงานถ่ายละครซีรีส์นี่แหละครับไปเรียนพวกนั้น ไปเรียนซ่อม ซ่อมแอร์ ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ซ่อมรถยนต์ แล้วเราก็ได้ความรู้พวกนั้นมา แล้วก็บวกกับการที่เราก็ปรึกษาพวกพี่ๆ ที่เขาเป็นผู้รับเหมา เป็นช่าง เป็นอาชีพช่างจริงๆ ข้างนอกครับ ว่าเขาประสบการณ์ทำยังไงบ้าง ผมก็เลย รู้สึกว่าเราอุตส่าห์เสียเวลามาขนาดนี้แล้วหาตังค์หน่อยเลยดีกว่าแต่คือไม่ได้คิดว่าแบบ ยังไม่ได้คิดว่าแบบจริงจัง ฉันจะต้องรวยจากการเป็นช่างแอร์ ไม่ เราไม่ได้คิดมุมนั้นนะ เราคิดแค่ว่าเราอุตส่าห์ได้ขนาดนี้แล้ว ก็ลองทำทีมช่างมาเลย เผื่ออย่างน้อยๆ เราก็แบบช่วยเซอร์วิสให้เพื่อนๆ รอบตัวเรา สมมุติว่าแบบ วิคเตอร์มาล้างแอร์ให้บ้านพี่หน่อย เราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกัน ก็ไปได้ครับ


MF: เริ่มต้นปี 2025 แล้วอยากให้พูดถึงแพลนในปีนี้
วิคเตอร์: แพลนนิ่งปี 2025 ของผมเนี่ย หลักๆ ที่แบบเป็นรูปธรรมชัดเจน ผมจะกลับมาทำเพลง ก็คือผมที่ผ่านมาเนี่ยผมอยู่ในสัญญา บ้านหลังเก่าก็ GMMTV ตอนนั้นเนี่ยผมก็หลักๆ จะเป็นงานซีรีส์ งานแสดง งานพิธีกร อย่างที่ผมบอกว่าผมเป็นพิธีกร ไทยทึ่ง สารคดีนั้นก็ตอนอยู่บ้านหลังเก่า แต่ว่าตอนนี้ผมออกมาแล้ว สัญญาผมหมดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 พอ 2025 ผมเลยมีความตั้งใจมากว่าอยากจะทำเพลงของตัวเอง เป็นอัลบั้ม เป็นอะไรก็เดี๋ยวค่อยว่ากันปีหน้าครับผม อันนี้ก็เป็นรูปธรรมที่สุด
MF: มีอย่างอื่นอีกไหมที่เราคิดว่าเราอยากจะทำในปีนี้
วิคเตอร์: ทีมช่างนี่แหละครับ เพราะว่าพอจริงๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็น จะเปิดบริษัทจริงจัง แต่ว่าพอเมื่อกี้ที่คำถามว่าอยากทำอะไรใหม่ๆ ผมได้ลองเริ่มเมื่อช่วงปลายปีนี้แหละ ผมเพิ่งเริ่มประมาณเดือนที่แล้วเอง ก็เลยหาลูกค้าแล้วลองทำแล้วผมรู้สึก เราสื่อสารกับช่างแล้วมันเข้าใจ เราสื่อสารกับลูกค้าก็เข้าใจ แล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ แล้วเราไม่ได้มีความรู้สึกว่าแบบมันลำบาก มันยาก มันอะไรเลย ผมรู้สึกว่าเราทำได้ ก็เลยรู้สึกว่าต้นปีหน้าครับ ผมก็จะฟอร์มทีมจริงจัง แล้วก็จดบริษัท แล้วก็อาจจะมีการขยับขยายทีมอะไรพวกนี้ครับ ก็เดี๋ยวลองดูปีหน้าว่าทิศทางมันจะไปยังไง แต่ทำไหม ทำแน่ครับ
MF: ฝากผลงาน
วิคเตอร์: ฝากสำหรับ งานภาพยนตร์สวัสดีวันจันทร์(ส) Happy Monday(S) ด้วยนะครับ ก็เป็นงานภาพยนตร์ที่ ผมกับนักแสดงคนอื่นๆ ตั้งใจมากๆ ในฉากจะมีซีนที่ผมต้องโดนไฟคลอก ไฟคลอกแขนข้างหนึ่ง ผมเล่นเองเลย ก็เลยรู้สึกว่าแบบเป็นเรื่องนึงที่เราแบบทุ่มเทมากๆ ครับ แล้วก็อยากให้คนดูจริงๆ แล้วยิ่งเป็นหนังของเนรมิตรหนังฟิล์มแล้วด้วยเนี่ย ผมเชื่อว่าคนดูหลายคนคาดหวังครับ เพราะว่าหนังสองเรื่องที่มันออกมาเนี่ย ตาคลี วัยหนุ่ม ผมแบบ โอ้โห… พวกพี่มากันขนาดเนี้ย เรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องของผม สวัสดีวันจันทร์(ส) ก็คือเราพยายามทำเพดานที่มันสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ก็เลยอยากจะให้ทุกคนไปดูกันนะครับผม ก็ฝากด้วยครับ ขอบคุณครับ

- Stylist Chanond Mingmit
- Photo Ponpisut Peejareon