ทรงศีล ทิวสมบุญ ศิลปะที่เป็นมากกว่าภาพวาด ทุกผลงานคือบันทึกช่วงเวลาของชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงและเติบโต จากลายเส้นในวัยเด็กสู่ผลงานที่สะท้อนตัวตน

MF: แนะนำตัวกับชาว Men’s Folio Thailand
ทรงศีล: สวัสดีครับ ผม ทรงศีล ทิวสมบุญ ทำงานศิลปะครับ
MF: เรื่องราวจุดเริ่มต้นในการสนใจเรื่องของศิลปะ
ทรงศีล: จริงๆ แล้วเป็นความสนใจโดยธรรมชาติตั้งแต่เด็กครับ อาจจะมาจากครอบครัวด้วยที่มีความสนใจศิลปะจากคุณพ่อเป็นพิเศษ ทั้งในแง่ของงานวาดภาพและการเขียนหนังสือด้วย
MF: นิยามความเป็น ‘ทรงศีล’
ทรงศีล: ก่อนจะรู้ว่าศิลปะคืออะไรเนี่ยเราชอบศิลปะโดยธรรมชาติของมันตั้งแต่เป็นเด็ก ถ้าจะให้นิยามตัวเองเราคงบอกได้แค่ว่าเราชอบศิลปะโดยที่ไม่รู้ตัวครับ มีความรู้สึกว่างานศิลปะเป็นเพื่อน การที่มันกลายมาเป็นอาชีพจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะเรียกว่ารูปแบบสังคมที่มันเป็นอยู่มากกว่า เราแค่อยากหาทางอยู่ร่วมกับศิลปะที่เรารักมาตั้งแต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรครับ
MF: ตัวละคร ‘หัวไฟ’ และ ‘ถั่วงอก’ และ ‘Nine lives’ มีที่มาจากอะไร และสะท้อนตัวตนของคุณยังไง
ทรงศีล: ตัวละครหัวไฟเรียกว่าสร้างมาจากบุคลิกของเราเองแล้วก็แบ่งมันออกเป็นสองด้านครับ ด้านที่เข้มแข็งแล้วก็อาจจะมีความก้าวร้าวอยู่ด้วยก็เป็นหัวไฟ ส่วนด้านที่เรียกว่าอ่อนโยนแล้วก็อาจจะไปถึงอ่อนแอได้ในบางครั้งก็จะเป็นถั่วงอกครับ และ Nine lives เรียกว่าเป็นเรื่องราวตัวละครที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงวัยรุ่นที่เข้มข้น เรียกว่าเราเจอจุดหักเหของชีวิตก็ได้ครับ เราก็พยายามผ่านสิ่งเหล่านั้นทั้งเรื่องเรื่องที่ยาก เรื่องที่ผิดหวัง เรื่องที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ด้วยการอาศัยคาแรกเตอร์พวกนี้นำพาไปสู่แสงสว่าง

MF: อยากให้เล่าถึงการจัดนิทรรศการในแต่ละครั้ง
ทรงศีล: ตอนนี้ในนิทรรศการนะครับ มันก็จะเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เราสร้างมาในรูปแบบของหนังสือด้วยครับอย่างนิทรรศการ Nine lives ก็ตามชื่อครับคือเป็นหนังสือที่เราเขียนอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านะครับแล้วก็ในนิทรรศการอันนั้นเป็นนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก Nine lives เนี่ยจะเป็นการแสดงผลงานต้นฉบับส่วนหนึ่งก็คือหนังสือทุกเล่มก็จะมีภาพวาด เราก็เอาภาพวาดงานดรออิ้งเหล่านั้นมาแสดงในงานด้วยแล้วก็จะมีผลงานเพนท์ติ้งชิ้นแรกๆ ในนั้นด้วยครับ แต่ว่าพอมางานถัดมาเนี่ยเราก็เป็นหัวไฟและถั่วงอก เราใช้หัวไฟเป็นตัวนำครั้งถัดมาเนี่ยจะเน้นไปที่งานเพนท์ติ้งในลักษณะที่เป็นงานสีน้ำมัน เป็นภาพวาดบนผ้าใบครับเป็นส่วนใหญ่ มากขึ้น แล้วก็ขยับขยายขอบเขตของงานออกไปใหญ่กว่าเดิมพอสมควรเพื่อที่จะเรียกว่ารวมความชอบที่หลากหลายในงานศิลปะเอาไว้ด้วยกัน ทั้งงานออกแบบเสื้อผ้า หรือแม้แต่ดนตรีนะครับที่ชอบก็จะมีแผ่นเสียงในงาน มี Sound ประกอบที่ดีไซน์เอง รวมถึงการออกแบบพื้นที่
ที่เรียกว่าตอบสนองบรรยากาศของผลงานมากที่สุดครับ
MF: เปรียบงานศิลปะของคุณทรงศีลกับสิ่งที่จับต้องได้ คิดว่าคืออะไร
ทรงศีล: จริงๆ แล้วงานศิลปะเนี่ยมันมีทั้งส่วนที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะให้เปรียบเป็นของสักอย่างนึงผมคิดว่าอาจจเป็นน้ำหอม เพราะว่าน้ำหอมเนี่ยมันเรียกว่าเราสามารถตีความมันได้หลากหลายและเล่าเรื่องให้กับมันได้เช่นเดียวกับงานศิลปะเนี่ยนะครับ มันสามารถจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้แต่ว่าเราสามารถรับรู้ถึงมันได้ทั้งสองแบบ สำหรับบางท่านอาจจะรับรู้จากรูปลักษณ์ของขวดที่นำเสนอมาก่อน เรื่องราวของมันก่อน แต่ในทางกลับกันก็เหมือนศิลปะครับ บางครั้งเราอาจจะรับรู้กลิ่นหอมของมันก่อน เรารู้สึกถึง
บางอย่างก่อน ความรู้สึกเหล่านั้นเหมือนได้กลิ่นน้ำหอมครับ แล้วเราค่อยสำรวจตัวเองว่าความรู้สึกนั้นน่ะมันนำไปสู่อะไร เราค่อยๆ ดูภาพค่อยๆ พิจารณาจากความรู้สึกแรกที่ดึงดูดเราเข้าไปเหมือนกลิ่นน้ำหอม
MF: ให้เลือกผลงานที่รู้สึกภูมิใจที่สุด จะเลือกผลงานชิ้นไหน และเพราะอะไร
ทรงศีล: ยากเหมือนกันนะ เป็นภาพวาดตอนอนุบาลครับ เพราะว่าสิ่งที่หาได้ยากมากในโลกศิลปะทุกวันนี้คือความสดและความที่มัน pure ที่แท้จริงในแบบที่แม้แต่ตัวศิลปินเองก็ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่นั่นแหละที่เป็นตัวเองที่สุดมันเป็นตัวเองก่อนที่เราจะจำกัดความมันด้วยตัวเราเองซะอีก ภาพวาดตอนอนุบาลของผมเป็นแบบนั้น มีอยู่ภาพนึงภาพวาดตอนอนุบาลครับที่ผมวาดเป็นเหมือนสถานีจอดยานอวกาศแล้วก็ที่บ้านก็เก็บเอาไว้ยี่สิบปีถัดมาผมเอาภาพนั้นเนี่ยกลับมาวาดใหม่อีกครั้งนึงมันสวยนะแต่มันไม่มีความสดอะไรแบบตอนที่เราไม่รู้ตัวอีกแล้วเรารู้ตัวแล้วว่าศิลปะทำยังไง วาดรูปยังไงผมยังชอบงานอนุบาลมากกว่าสิ่งนี้ครับพิสูจน์และทำให้ผมรู้สึกว่าความไม่รู้ของเราเนี่ยแหละมีค่าที่สุด
MF: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเองในวันที่เริ่มต้นทำงานศิลปะ
ทรงศีล: ถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ก็จะไม่บอกอะไรเลยครับ เพราะว่าอย่างที่เหมือนที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ผมอยากให้เขาเก็บภาษาความสด ความไม่รู้นั้นเอาไว้ อันนั้นแหละเป็นพลังที่จะทำให้งานออกมาเป็นตัวของตัวเอง ถ้ารู้ซะแล้วก็ไม่รู้มันจะสดอย่างนั้นหรือเปล่า

MF: มีศิลปินคนไหนที่อยากร่วมงานด้วยเป็นพิเศษไหม
ทรงศีล: เยอะมากและหลากหลายครับแต่ที่อยากร่วมงานอย่างแท้จริงเนี่ยค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้หรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว (หัวเราะ)
MF: มีอะไรที่คุณคิดว่าเป็น ‘ข้อจำกัด’ หรือ ‘อุปสรรค’ ของศิลปินและนักเขียนไทยในปัจจุบัน?
ทรงศีล: สำหรับปัจจุบันน่าจะเป็นข้อมูลที่มันล้นครับ ตัวช่วยที่มันมากมายเกินไป บางทีเราใช้เวลากับการคัดสรรข้อมูลเหล่านี้ ใช้เวลากับการเลือกว่าจะใช้ตัวช่วยหรือเครื่องมือแบบไหนมากเสียจนเราลืมไปว่าแท้จริงแล้วตัวเราคือคนที่ควรจะเป็นแก่นกลางของทุกอย่าง เพราะส่วนหนึ่งของศิลปะที่สำคัญมากๆ คือการเลือกครับแต่เมื่อมันมีการเลือกที่มากล้นเนี่ยมันจะกลายเป็นความสับสน
ได้ง่ายมาก บางทีตัวตนเราก็จะเลือนหายไปในความสับสนที่มากล้นเหล่านั้นการทำงานที่ดีที่สุดที่ผมเรียนรู้เนี่ยบางคนอาจจะประหลาดใจนะว่ามันไม่มีอะไรเลยจริงๆ เราต้องกลับไปสู่ความไม่มีอะไรเลย สมมุติว่าเราได้งานมา ได้โจทย์มาชิ้นนึงใช่มั้ยครับครั้งแรกที่ผมพบว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพมากมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นผมอายุสัก 17 ได้มั้ง แล้วเรียนศิลปะอยู่ คุณครูก้ได้ให้
โจทย์มา ผมนั่งเฉยๆ ไม่คิดอะไรเลยนะ ไม่คิดอะไรแล้วรอให้มันเกิดอะไรบางอย่างขึ้นในอากาศครับ มันคงเหมือนเสาอากาศสัญญาณของเราแบบไปจับอะไรได้ในอากาศ แต่ ณ เวลานั้นมันไม่มีสิ่งที่มากล้นหรือว่าสับสนอะไรเข้ามาปะปนในความคิดเลย สิ่งใดที่มันผุดขึ้นมา มันเหมือนภาพสักภาพนึงที่วางอยู่ตรงกลางแกลเลอรี่แห่งความคิด สีขาวสะอาดแล้วก็มีภาพนึงเด่นชัดขึ้นมา เราก็จะรู้ว่าคืออันนี้แหละ
MF: ฝากถึงคนที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางศิลปิน
ทรงศีล: ทำความรู้จักกับตัวเองมากๆ ครับ แล้วก็แยกแยะว่าสิ่งใดที่เป็นตัวเราโดยธรรมชาติมาก กับสิ่งใดที่เราถูกโลกเร้าให้เป็นเรา จะมีส่วนไหนมากน้อยก็ไม่เป็นไรหรอกแต่คิดว่าถ้าเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วเนี่ย เมื่อเรามองไปที่งานเรา เราจะแยกแยะออกได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่เราชอบอย่างแท้จริง สิ่งใดเราควรจะนำเสนอต่อไป หรือควรจะปรับเปลี่ยนครับ


