จากจุดเริ่มต้นที่ไม่แน่ใจในเส้นทางศิลปะ สู่การตกผลึกทางความคิดและสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนความหวังและแรงบันดาลใจ Vachboy ถ่ายทอดตัวตนผ่าน ‘Hope’ ดอกไม้แห่งความหวัง

MF: แนะนำตัวกับชาว Men’s Folio Thailand
บุ๋น: สวัสดีครับ บุ๋น วัชรพงศ์ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม Vachboy ครับ
MF: เรื่องราวจุดเริ่มต้นในการสนใจเรื่องของศิลปะ
บุ๋น: จริงๆ เราเป็นคนที่วาดรูปตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เหมือนกับมีพรสวรรค์ครับ แต่ว่าพอโตขึ้นมาก็ไม่ได้คิดว่าจะเดินทางศิลปะโดยตรงเพราะตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าเราจะประกอบอาชีพยังไง แต่ว่าพอเราผ่านงานทางสายกราฟิกมาสักระยะหนึ่งมาทางสายโฆษณา ก็ทำพวก 3D Special effect ครับ พอผ่านประสบการณ์ต่างๆ ก็เริ่มรู้สึกเหมือนเราตกผลึกกับชีวิตเราได้ในระดับนึง เราก็อยากจะเล่าเรื่องราวบางอย่างให้สังคมได้รับรู้ ก็เริ่มจากเวทีเล็กๆ อย่างเช่น Bangkok Illustration Fair ก็เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพของผม แล้วก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ
MF: นิยามความเป็น Vachboy
บุ๋น: ก็คงจะเรียกว่าเป็นศิลปิน นีโอ-ป๊อปอาร์ต ซึ่งเป็นทางที่ผมถนัดครับ แล้วก็โดยจุดมุ่งหมายจริงๆ ของผมก็คืออยากจะถ่ายทอด inspiration หรือความหวังต่างๆ ผ่านผลงาน เพราะว่าตัวผมเองก็เคยผ่านโมเมนต์นั้นมาที่เราต้องการความหวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้าใจเราหรือเรื่องอื่นๆ ผมก็เลยค่อนข้างรู้ว่า ความหวังมันเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตครับ
MF: พูดถึงคาแรกเตอร์ Hope
บุ๋น: จากที่บอกไปเมื่อสักครู่ครับ มันก็เลยเป็นที่มาของตัวละครที่ชื่อว่า Hope เป็นดอกไม้ เพราะว่ามัน inspiration มาจากตัวผมเอง จริงๆ แล้วมันเหมือนกับว่าเราเป็นดอกไม้ที่รอวันเบ่งบานครับ กว่ามันจะสวยงามจะต้องผ่านอุปสรรคผ่านความท้าทายต่างๆ กว่าจะเบ่งบานให้คนอื่นได้ชม ผมรู้สึกว่าดอกไม้มันคือความหวังสำหรับผม พอเห็นดอกไม้แล้วเรารู้สึก connect กับมัน เริ่มแรกที่ผมลองวาดก็เหมือนวาดเล่นๆ แต่พอมันวาดออกมาปุ๊บ เฮ้ย! มันใช่เลย แล้วผมก็รู้สึกว่าทุกๆ คนก็มีโมเมนต์ที่ต้องการความหวังเหมือนกัน มีโมเมนต์ที่ผ่านอุปสรรคแล้วคนอื่นก็ไม่เข้าใจ มันไม่มีใครเข้าใจกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เลยอยากจะให้ผลงานของผมและตัวละคร Hope ช่วยนำพาให้มี inspiration ในวันถัดๆ ไปครับ
MF: แล้วตัว Hope จริงๆ คือดอกไม้พันธุ์อะไร
บุ๋น: จริงๆ ถ้าคนมองแวบแรกก็จะนึกถึงดอกเดซี่เพราะว่าดูสีแล้วมันเหมือนแต่ตอนเริ่มต้นผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นดอกอะไรเลย แค่ให้มันเข้าใจง่าย แล้วสีมันก็สดใส ดูเป็นวันใหม่แต่จริงๆ แล้วคือน้องอาจจะไม่ได้ระบุว่าเป็นดอกอะไร เพราะว่าในหลายๆ งานหลายๆ ครั้ง ผมก็จะเลือกที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีอื่นๆ ตามแต่ความเหมาะสมครับ
MF: อยากให้เล่าถึงการจัดนิทรรศการในแต่ละครั้ง
บุ๋น: ทุกครั้งที่เลือกก็คือจะต้องดูคอนเซ็ปต์ว่าคอนเซ็ปต์ของเขามันเข้ากับจุดประสงค์ของเรามั้ย แล้วเขาอยากจะให้เราไปจัดอะไรในนิทรรศการของเขา คือแบรนด์เขาก็มีแคมเปญต่างๆ นะแต่ว่าเราเองก็ต้องเหมือนบาลานซ์ความเป็นตัวตนของเราให้ได้ ถ้าเกิดคอนเซ็ปต์ไม่เข้ากันผมก็อาจจะต้องขอข้ามไปก่อนครับ


MF: เปรียบงานศิลปะของ Vachboy กับสิ่งที่จับต้องได้ คิดว่ามันคืออะไร
บุ๋น: ผมรู้สึกว่าเป็นเตาผิงครับ เพราะว่าเหมือนกับในวันที่มันหนาวมากๆ มันก็มีแค่เตาผิงที่ส่องสว่างแล้วก็ให้ความอบอุ่นผ่านคืนวันอันโหดร้ายไปได้ครับ
MF: ให้เลือกผลงานที่รู้สึกภูมิใจที่สุด จะเลือกผลงานชิ้นไหน และเพราะอะไร
บุ๋น: คงเป็นงานที่ผมแสดงที่ River City ครับ คือเป็นนิทรรศการกลุ่ม ที่มีธีมชื่อว่า Come Rain or Shine หมายถึงว่าโอเคมาเลยไม่ว่าจะฝนหรือจะแดด ขอให้มาได้เลย ฉันพร้อมจะหยุดอยู่ตรงนี้ ซึ่งฟังคอนเซ็ปต์ของนิทรรศการกลุ่มนี้แล้วรู้สึกแบบ โอ้โห นี่มันใช่เลยแล้วผมก็ถ่ายทอดเรื่องราวของผมออกไป ผมออกแสดง 4 ชิ้น แล้วทั้ง 4 ชิ้นนั้นเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวผมหมดเลย การเดินตามความฝันของตัวเองโดยที่ถ้าพูดตรงๆ ก็คือเหมือนกับเราค่อนข้างสวนกระแสจากคนรอบข้าง หรือความคาดหวังของคนรอบข้างครับ มันก็มีหลายๆ คนที่เหมือนอยู่ในสถานการณ์นี้เหมือนกัน มันเหมือนว่าผมได้เป็นกระบอกเสียงเล็กๆ
MF: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเองในวันที่เริ่มต้นทำงานศิลปะ
บุ๋น: อยากจะบอกว่า มาถูกทางแล้ว ก็ขอให้อย่าเพิ่งยอมแพ้นะครับ เพราะมีหลายๆ ครั้งในช่วงนั้นมันก็มีแว็บขึ้นมาเหมือนมีตัวร้ายตัวดีสู้กัน มันจะมีแว็บนึงที่เหมือนกับว่าเราคิดว่ามันไม่ใช่ทางของเราจริงๆ โชคดีที่เราไม่ยอมแพ้ เพราะว่ามันอีก
นิดเดียวจริงๆ ที่มันจะเห็นผล
MF: มีศิลปินคนไหนที่อยากร่วมงานด้วยเป็นพิเศษไหม
บุ๋น: ผมอยากจะร่วมงานกับศิลปินทุกแขนงไม่จำกัดตรงนั้นว่าเราเป็นใคร แต่ว่าขอให้เราได้ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสร้างสิ่งที่ดีขึ้นให้กับโลกใบนี้ คือถ้าให้พูดเป็นอุตสาหกรรมผมรู้สึกว่าผมอยากจะร่วมงานกับศิลปินที่ทำมิวสิคหรือสถาปนิกครับ เพราะว่ามันเหมือนกับว่า… ศาสตร์ผมมาจากวิชวลวาดรูปซึ่งถ้างานผมมันไป merge กับศิลปะแขนงอื่นผมรู้สึกว่าเป็นการจับมือกันได้ส่งพลังมันเหมือนว่าเราได้สื่อสารในอีกเลเวล
MF: มีอะไรที่คิดว่าเป็น ‘ข้อจำกัด’ หรือ ‘อุปสรรค’ ของศิลปินไทยในปัจจุบัน
บุ๋น: ต้องพูดว่าถ้าเป็นอุปสรรคคือตอนนี้โอกาสถือว่ามันเยอะขึ้นมากจากเมื่อก่อน คือเมื่อก่อนศิลปินไทยน่าจะนับคนได้เลยว่ามีใครบ้าง สมัยนี้ก็ดีขึ้นแต่ว่าก็ยังมีจุดตายที่ประเทศไทยมีคณะที่สอนวาดรูปอยู่ทุกมหาวิทยาลัยเยอะมากแต่ว่าไม่ค่อยมีใครสอนว่าเราจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินหรือการจัดการในฐานะศิลปิน การดำรงชีพในฐานะศิลปิน จะต้องทำยังไงมันต้องเหมือนเราเรียนรู้เองครับ แล้วก็เลยทำให้คนที่มีฝีมือหลายๆ คนก็หายไปจากวงจร เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องดำเนินเลี้ยงชีพยังไงด้วยอาชีพนี้ครับซึ่ง จริงๆนั่นก็คือเป็นทั้งข้อจำกัดแล้วก็อุปสรรคด้วย
MF: ฝากถึงคนที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางศิลปิน
บุ๋น: ผมคงไม่พูดว่าให้ขยันเพราะผมว่าเขาคงเข้าใจกัน แต่ถ้าให้แนะนำจริงๆ ก็คือขอให้ซื่อสัตย์กับตัวเองครับ เพราะว่าความซื่อสัตย์กับตัวเอง การเข้าใจตัวเอง หรือเข้าใจโลก เป็นด่านแรกในการทำศิลปะสำหรับผม เพราะว่ามันทำให้งานของเราดูจริงใจแล้วก็ไม่ได้เดินตามเส้นทางของใคร มีจุดประสงค์ที่แน่วแน่ในการสร้างงานขึ้นมาว่าเราอยากจะสื่อสารอะไรกับโลกใบนี้ครับ


