พบกับ ต้าห์อู๋ – พิทยา และ ออฟโรด – กันตภณ ด้วยสไตล์อันโดดเด่นที่ไม่ซ้ำใคร พร้อมดำดิ่งไปคาแรกเตอร์ใหม่ที่จะพาคุณเข้าสู่ปาฏิหาริย์ความรักที่ยาวนานถึงร้อยปี เรื่องราว การผจญภัยสุดล้ำ และแม้ว่าจะก้าวเข้าสู่เส้นทางการแสดงแต่ก็ยังคงนิยามตัวเองว่า ศิลปิน เพราะอีกหนึ่งสิ่งที่รักคือการร้องเพลง พบกับบทบาทท้าทายครั้งใหม่กับก้าวต่อไปของพวกเขาที่น่าติดตามไม่แพ้กัน
MF: กลับมารับซีรีส์คู่กันอีกครั้งเป็นยังไงบ้าง
ออฟโรด: สำหรับผมก็เป็นอีก 1 บทบาทใหม่ ๆ แล้วก็รู้สึกดีใจที่ยังได้เล่นกับเขา เป็นการเล่นในอีกบทบาทที่รู้สึกว่าท้าทายขึ้น โตขึ้น แล้วก็มาดูกันว่าเรื่องนี้มันจะ progress กว่าเรื่องที่แล้วขนาดไหนครับ
ต้าห์อู๋: ก็ดีใจเหมือนกันครับ เพราะว่าในครั้งนี้เหมือนเราได้ก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงจริง ๆ แล้ว เพราะว่าในโปรเจกต์นี้เป็น 1 โปรเจกต์ที่จริงจังกับมันมากขึ้นกว่าซีรีส์เรื่องที่แล้ว เพราะมีเวลาเตรียมตัวน้อยแต่ว่าในรอบนี้เราได้ทีมต่าง ๆ ไม่ว่าจะทีมเขียนบท ทีมกำกับ เป็นทีมที่มีประสบการณ์สูงมากได้มีการเตรียมตัวที่นานมากเกี่ยวกับการทำคาแรกเตอร์ หรือว่าการทำ background story เพราะฉะนั้นในการทำซีรีส์ครั้งนี้เราตั้งใจว่าเราจะ regis เข้าไปในการเป็นนักแสดง
MF: เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในการรับบทที่ต่างไปจากเดิม
ออฟโรด: ความเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากเรื่องเดิมคือฐานะเลยครับ เปลี่ยนไปคนละขั้วเลยตัวละครที่แล้วค่อนข้างที่จะรวยมาก ๆ ส่วนเรื่องนี้จะมีความสู้ชีวิตสูงมาก ๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นตัวละครที่โตขึ้น มีปมหรือมีสิ่งที่ต้องผ่านมันไปให้ได้ยากมาก ซึ่งผมรู้สึกว่ามันท้าทายต่างไปจากตัวภูมิใจเยอะมาก ๆ
ต้าห์อู๋: อย่างแรกในเรื่องของคาแรกเตอร์ ระหว่างพี่หยางจากเรื่องที่แล้วกับพี่ซานจะมีแบคกราวด์ที่ต่างกันไปเลยเพรมะมีความเป็นแฟนตาซีด้วย แต่ว่าเรื่องของพี่หยางจะมีความเป็นรอมคอมส่วนแบคกราวด์ก็เป็นเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ทั่วไปแล้วก็มีปัญหาต่าง ๆ แต่ว่ามันอยู่ที่ระบบวิธีการคิดด้วยของพี่หยางเราอาจจะไม่ได้ทำการบ้านออกมาอย่างจริงจังและรอบคอบมากมันอยู่ใน process ที่ค่อนข้างรวดเร็ว แต่ว่าตัวของพี่ซานเองต้องเล่นเป็นแฟนตาซีแล้วก็มีอายุมา 124 ปี เท่ากับว่าเราได้เห็นโลกเห็นสังคมมันได้เห็นในมุมมองต่าง ๆ ของระบบความคิดที่เราคิดย้อนกลับไปของคนสมัยนั้นในการมองโลกกว่า 124 ปี คนอาจจะคิดว่าโลกมันเปลี่ยนไปไวมากด้วยความต่างวัยของ gen z กับ gen ปัจจุบัน แค่นี้ระบบความคิดก็ไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่าในตัวของซานเองต้องย้อนกลับไปคิดว่าคนในสมัยนั้นมีวิธีคิดแบบไหนแล้วถ้าคนเห็นแบบนั้นจนมาถึงปัจจุบันเขาได้เห็นโลกปัจจุบันเขาจะมีวิธีคิดที่เปลี่ยนไปหรือยอมรับที่จะเปลี่ยนไปรึเปล่า จะเป็นในเรื่องของ character ที่จริงจัง ส่วนในเรื่องของตัวเราเองก็มีในเรื่องของการเตรียมตัวเพราะว่าในเรื่องของการแอคติ้งจะต้องมีการไปเรียนเพิ่ม เพราะการแอคติ้งมีหลายมิติมาก ๆ ไม่ใช่แค่การแสดงออกไปเป็นเรื่องของระบบความคิด วิธีคิดด้วย logic ด้วยในการแอคชันหรือรีแอคชันออกไปของตัวละคร และก็เป็นเรื่องของ body physical ที่เราไปเปลี่ยนแปลงมาด้วย
MF: มีเทคนิคการเตรียมตัวยังไงบ้างให้เข้าถึงบทบาทที่ต่างไปจากเรื่องเดิมที่เคยผ่าน
ออฟโรด: หลัก ๆ เลยคือต้องเตรียมตัวในเรื่องของคาแรกเตอร์ที่ต้องทำการบ้านในเรื่องของการเตรียมตัวละครเยอะมากเหมือนกันจะมีมุมมองที่อาจจะแตกต่างจากผู้กำกับ ทีมงานเยอะมากเหมือนกันก็ต้องดึงกลับมาให้ไปในทางที่เขาต้องการ
ต้าห์อู๋: จริง ๆ เราเองเป็นนักแสดงหน้าใหม่เทคนิคมันค่อนข้างที่จะน้อยการเรียนแอคติ้งมาเรามีเทคนิคค่อนข้างที่จะน้อยไม่ได้มีเยอะขนาดนั้นสิ่งสำคัญคือการเข้าไปแล้วเปิดรับฟังผู้กำกับหรือผู้ที่มีประสบการณ์ในกอง อย่างผู้กำกับเนี่ยเขาจะมี logic ว่าทำไมตัวละครต้องรีแอคชันแบบนั้นแสดงไปแบบนี้รู้สึกว่ามันมาจากประสบการณ์ของเขามันคือการเรียนรู้มันคือเทคนิคของผมเลยคือการเรียนรู้เราต้องเปิดมาก ๆ ไม่ว่าเราจะทำการบ้านมามากแค่ไหนแต่สุดท้ายเราจะได้มุมมองใหม่ ๆ กลับไปในทุกวัน ด้วยความที่พี่หวอเป็นผู้กำกับที่มีประสบการณ์สูงมากการตีคาแรกเตอร์ของเขาค่อนข้างคมมากเขาจะเห็นเลยว่าแต่ละตัวละครจะมีคาแรกเตอร์ แบบไหนที่เขาอยากจะเล่า เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราคิดเองไม่ได้แน่นอน เพราะงั้นเราเลยคิดว่าเทคนิคหลักของเราเลยคือการฟังมากกว่า การรีบจับใจความให้ได้ว่ามันควรจะต้องเป็นยังไง ที่มาที่ไปของมันเป็นยังไง มันต้องมีสติมากในหน้าเซ็ต
MF: ชอบบทบาทไหนมากกว่ากัน
ออฟโรด: มันคนละแบบเลยครับ ผมชอบทั้ง 2 ตัวเลยเพราะตัวละครแต่ละตัวมันคนละแบบมันเหมือนกันเราได้เป็นเราในอีกเวอร์ชันนึงหรือเป็นตัวละครนั้นอีกแบบนึง มันทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตของตัวละครนั้น ๆ ด้วยครับ
ต้าห์อู๋: ถ้าถามว่าชอบใครมากกว่า ผมชอบซานมากกว่าแต่ละตัวละครจะให้บทเรียนกับเราไม่เหมือนกัน อย่างตัวของหยางเองมันทำให้เราได้เห็นความรักของคนคนนึงอีกแบบนึงว่านอกจากภาระที่มีอยู่บางมีเขาอาจจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อไม่ให้อีกคนลำบากก็ได้ ส่วนซานเองก็มีมุมของหยางเหมือนกันแต่ด้วยกระบวนการทำงานที่มันหนักและแน่นกว่าทำให้เห็นมุมมองว่าการกระทำของซานที่ไม่คิดว่าจะทำแบบนี้ก็ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาทำด้วยเลยอาจจะชอบซานมากกว่าเพราะว่ามันมีหลายมิติที่ให้บทเรียนกับเราและให้เราล่องไปกับคาแรกเตอร์ของมัน
MF: มองอนาคตบนเส้นทางการแสดงไว้ยังไงบ้าง
ออฟโรด: อนาคตของตัวเองก็คงอยากพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ บทบาท อยากจะเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบ และเป็นตัวละครที่ถ่ายทอดความรู้สึกให้กับคนดูได้รู้สึกกับตัวละครนั้น
ต้าห์อู๋: ผมเหมือนพึ่งเข้ามาในวงการผมเลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสมาในด้านของการแสดงก็คงจะต้องเรียนรู้กันต่อไป ผมรู้สึกว่าเส้นทางยังอีกไกลมาก ๆ เราเองยังรู้สึกว่าต่อให้ผ่านเรื่องที่พี่หวอกำกับมาแล้วเรายังรู้สึกว่าใหม่มากแต่ว่ามันทำให้เรารู้สึกสนุกกับการแสดง การที่เรา regis เข้ามาเป็นนักแสดงมันทำให้เราเห็นในอนาคตว่าต่อไปเราจะได้เจอสิ่งอะไรใหม่ ๆ ซึ่งผมก็คิดว่าถ้ามีโอกาสด้านการแสดงเข้ามาไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์แบบไหนเราก็อยากจะไปทำความรู้จักกับคาแรกเตอร์นั้นผ่านการตีความของทั้งนักเขียน ตัวบท และผู้กำกับ มาผสมความเป็นเราลงไปซึ่งก็น่าตื่นเต้นเหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง
MF: จากที่ได้ร่วมงานกันมามากมายทั้ง 2 คนประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่ายบ้าง
ออฟโรด: ความประทับใจในตัวเขา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนปรับตัวได้เร็วแล้วเขาสามารถทำทุกอย่างออกมาได้ perfect สำหรับผมในมุมมองผม แล้วก็เป็นคนที่ปล่อยวางได้เร็วในที่นี้คือพร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ เสมอ ปรับตัวอยู่เสมอ พร้อมรับทุกอย่างที่เข้ามาทำให้เขาเก่งมากขึ้น
ต้าห์อู๋: ผมว่าสิ่งที่ผมประทับใจในตัวเขาคือการใช้ชีวิตเขาจะรอบคอบในเรื่องของชีวิตตัวเองมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเขาจะมีระเบียบแบบแผนรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตามหาได้ในทุกคนในการที่ทำให้ตัวเอง process ไปข้างหน้า
MF: แล้วในเรื่องของการแสดงได้มีการปรึกษากันและกันบ้างไหม
ออฟโรด: ก็มีปรึกษากันตลอด หลัก ๆ ในเรื่องของผมก็คือเรื่องของ direction เพราะชอบกังวลว่าต้องทำยังไง บางทีเราไปยึดติดเกินไป ก็จะถามว่าเราควรแก้ไขยังไงมี solution แบบไหน ถ้าแบบนี้ต้องทำยังไงได้บ้างก็จะคอยถามเขาตลอด
ต้าห์อู๋: ส่วนของผมก็จะมีปรึกษาเพราะว่ามันจะมีหลายครั้งที่เราได้มาเป็นประสบการณ์คือเราเล่นเราต้องแสดงความรู้สึกไม่ควรที่จะต้อง judge ตัวเองแต่ว่าตอนเล่นเสร็จเราจะชอบถามว่ารู้สึกยังไงมันโอเคมั้ยฟิลลิงมันโอเคมั้ยความรู้สึกมันสนุกมั้ย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตระหว่างการถ่ายทำมากกว่า เพราะว่าตัวผมเอง ตัวออฟโรดเองได้รับความกดดันมาเยอะด้วยความที่เราเป็นเด็กใหม่ด้วย และกองนี้เป็นกองที่ค่อนข้างจะ professional ด้วย มันทำให้เราค่อนข้างที่จะต้องปรับตัวในการทำงานกับบุคคลใหม่ ๆ ซึ่งทุกคนมีประสบการณ์หมดเลยทำให้เรา 2 คนอยู่ในภาวะที่จะต้องแบกความคาดหวังของคนอื่นเลยทำให้รู้สึกว่ามีความกดดันเยอะกว่าปกติเลยค่อนข้างจะปรึกษากันเยอะและหาวิธีที่จะคลายมันออกเพื่อให้การทำงานมันโฟลว์ต่อไปได้
MF: บทบาท หรืออะไรที่อยากลองทำบนเส้นทางนักแสดง
ออฟโรด: ก็จริง ๆ ยังมีอีกเยอะเลยครับ ผมเองก็พึ่งเริ่มต้นมาได้แสดงน้อยมาก ๆ รู้สีกว่ายังมีอีกหลาย ๆ บทบาทที่อยากลองอีกเยอะมาก ๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากทำออกมาให้ดีมาก ๆ เป็นตัวละครที่ส่งไปให้คนดูรู้สึกได้ครับ
ต้าห์อู๋: ของผมคงเป็นบท แอคชัน-บู๊ แล้วกันครับ บู๊ที่เป็นคอมเมดี้เพราะว่าเราชอบดูหนังจีนที่เป็นบู๊แล้วก็ตลก เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่มีเยอะแหละที่เป็นบู๊จริงจังแล้วก็เป็นหนังตลกบู๊แต่อาจจะไม่ได้จริงจังแล้วบวกกับการที่เรามีทักษะในเรื่องคิวบู๊เราชอบมากดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ บวกกับการที่เราเรียน visual art แล้วเราก็สามารถเต้นได้ด้วยก็จะมี choreography บางอย่างที่มันเกี่ยวข้องกับการ blocking ทางแอคติ้งรวมเป็นคิวบู๊มันเลยทำให้เราชอบแล้วเราดูมาเยอะมากการแอคชันต่าง ๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากแสดงอะไรแบบนี้ มันจะเป็นจังหวะตลกต่าง ๆ ที่เราชอบคิดออกเองในแก๊กที่เราอยากจะเล่นเราเลยรู้สึกว่าเราเองไม่ได้เป็นคนที่จริงจังมาก ด้วยความที่ไปเล่นแอคชันมันจะจริงจังมาก ๆ จริงจังเกิน เท่เกิน ไม่ใช่ตัวเรา แต่แอคชัน-บู๊มันคงเป็นอะไรที่สนุกด้วยแอคชันที่จริงจังและตลกดูเป็นธรรมชาติ
MF: เมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมาได้จัดงาน Fancon แฟน ๆ ยังมีโอกาสที่จะได้ฟังเพลงใหม่จากทั้ง 2 คนบ้างรึเปล่า
ออฟโรด: ในอนาคตคงจะมีโอกาสได้ฟังเพลง ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นในช่วงไหนแต่จะมีให้แฟน ๆ ได้ฟังแน่นอนครับ
ต้าห์อู๋: ด้วยความที่ผมเริ่มมากจากการเป็นนักร้องสิ่งสำคัญสิ่งที่ผมรักที่สุดคือการร้องเพลง ชีวิตผมคือ stage มันคือสิ่งที่ผมถนัดที่สุดผมก็ต้องทำแน่นอน
MF: มีใครเป็นไอดอลในการใช้ชีวิต และไอดอลในวงการบันเทิง
ออฟโรด: ไอดอลในการใช้ชีวิตของผมคือ Cristiano Ronaldo ชอบมาก ๆ เพราะว่าเขาเป็นคนที่เริ่มต้นจากการที่พยายามที่จะซ้อม พยายามพาตัวเองไปเป็น star ในด้านของการเตะฟุตบอล ผมรู้สึกว่าเขาพยายามมาก เก่งมาก ก็เป็นไอดอลในการวางระเบียบชีวิตมีแบบแผนแล้วก็พยายามทำในทุก ๆ อย่าง ส่วนในเรื่องการแสดงของผมไม่ตายตัวครับ จะคอยดูเทคนิคของแต่ละคนไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นที่เห็นแล้วประทับใจก็คือ พี่ต่อ ธนภพ เพราะเราดูเขาเล่นมาตั้งแต่แรก ๆ เรารู้สึกว่าทำไมเขาถึงเล่นได้หลายอย่างมากแล้วก็ออกมาเป็นตัวละครที่เราเชื่อว่าเขาเป็น
ต้าห์อู๋: ของผมเองถ้าพูดถึงต้นแบบในการใช้ชีวิตผมไม่มีสักพักนึงแล้ว ผมใช้ชีวืตด้วยบทเรียนของคนที่เราเห็นรอบตัวรวมถึงแบบอย่างทั้งข้อดีและข้อเสียเราเอามาช่างน้ำหนักว่าแบบไหนดีแบบไหนไม่ดีการที่เราใช้ชีวิตในวงการมีแบบอย่างหลายแบบมาก ผมเชื่อคำนึงว่า แล้วแต่จะคิดชีวิตเราคนละแบบ ตอนนี้เลยกล้าพูดได้เต็มปากว่าเราใช้ชีวิตตามแบบของตัวเองไม่ได้ตามแบบของใคร ส่วนใหญ่จะเรียนจากบทเรียนของหลาย ๆ คนมากกว่า หรือแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นด้านการแสดงหลัง ๆ มานี้ได้ดูพี่ชาย ชาตโยดม กับพี่ณเดช เรารู้สึกว่าทั้ง 2 คนมีความสามารถในการแสดงแทบจะทุกแขนงเลยเราได้ไปเสพผลงานเขาอย่างพี่ชายเราเห็นมาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นบทบาทพ่อ บทบาทดี บทบาท lgbtqia+ และก็ในเรื่องของละครเวทีทั้งการร้องการแสดงเราได้เห็นแล้วว่า major ของการแอคติ้งมันสามารถ lead ทุกคนไปได้แล้วลบทุกคนไปเลยแค่อินเนอร์มันถูกต้อง เรารู้สึกว่าพี่ชายเป็นอีกคนที่มีคำว่าไม่หวังผลอยู่ในนั้น ครั้งนึงเราอยากจะได้แสดงกับเขาและเรียนรู้อะไรกับเขามาก ๆ ส่วนพี่ณเดชเป็นอีกคนที่เราดูละครของเขามาในหลาย ๆ อย่าง ทุกคนอาจจะมองว่าพี่ณเดชเป็นคนที่หล่อและก็มีความสามารถ สำหรับผมแล้วผมทึ่งกับสกิลที่พี่เขาทั้งร้องได้ทั้งเต้นได้และการแสดงของเขามันดีมาก ๆ ไหนจะหน้าตา body figure ระเบียบต่าง ๆ ที่ทำให้เขาเป็น ณเดช คูกิมิยะ ในทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งเลยที่ 2 คนนี้ถูกยอมรับในด้านการแสดงเลยเป็นสิ่งที่เป็นต้นแบบให้กับเราอยากจะเดินไปข้างหน้าในวงการบันเทิงที่เราถูกยอมรับจากเพื่อน ๆ ในวงการ หรือแม้กระทั่งคนทำงานเบื้องหลังรวมถึงคนดูด้วยว่านี่แหละคือนักแสดง ไม่ใช่แค่ดารา
MF: ระหว่าง ศิลปิน กับ นักแสดง ชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ออฟโรด: สำหรับตัวผมเองผมชอบการแสดงมากกว่า ผมรู้สึกว่ามันเป็นการสื่อสารในรูปแบบของตัวละครคือทั้งนักแสดงและศิลปินมันเป็นการสื่อสารทั้งคู่แต่สื่อสารออกมาในคนละแบบซึ่งผมชอบวิธีสื่อสารในรูปแบบของนักแสดงมากกว่ามันเป็นตัวละครที่มัน relate กับการที่เราได้เห็น ได้เห็นภาพแล้วเรารู้สึกว่าเราได้เห็นชีวิตของคนนั้น การที่จะได้เห็นชีวิตของคนนั้นมันได้ explore เข้ากับตัวเองด้วย ส่วนในพาร์ทของศิลปินที่ผมคิดนานเพราะว่าผมมีโอกาสได้ลองทำแล้วผมรู้สึกว่าผมก็ชอบการสื่อสารในส่วนของศิลปินเหมือนกัน มันเป็นการสื่อสารที่เราร้องออกไปแล้วเรามีจินตนาการภาพในหัว การสื่อสารมันจะเป็นอีกแบบคือเราร้องสื่อสารแล้วเราก็ตีความในแบบที่เราเห็นภาพออกมาส่วนการแสดงก็เป็นอีกแบบนึงผมก็ prefer ทางด้านการแสดงมากกว่า
ต้าห์อู๋: ส่วนผมอยากเรียกตัวเองว่าศิลปินแล้วกันเพราะว่าจริง ๆ แล้วนักร้อง นักแสดง ผมว่าทั้งสองอย่างคือศิลปินเหมือนกัน คนที่สร้างงานศิลปะออกมาให้กับผู้ชมได้ดูแต่ว่าผมชอบทั้งการแสดงและการร้องเพลง ผมเรียกตัวเองว่าศิลปินจริง ๆ ด้วยความที่เราได้เรียนการแสดงมาหลัง ๆ การร้องเพลงของผมมันก็เปลี่ยนไปไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่นักร้องแล้วเราได้เห็นมิติใหม่ ๆ ในการ perform ที่เราอยู่ ณ ปัจจุบันได้ดื่มด่ำไปกับตัวจังหวะก่อนที่มันจะไปถึงเพลงเพราะว่าก่อนที่เราจะเป็นนักร้องจะร้องเพลงโดยมีภาพในหัวหรือคิดไว้อยู่แล้ว ผมโดนพี่บอยว่ามาว่าเนี่ยหวังผลตอนแรกเราไม่เข้าใจเลยจนกระทั่งมาเรียนการแสดงว่า อ๋อ เราได้เข้าใจไปกับมันเลยกลายเป็นว่ามันถูกรวมมาด้วยการแสดง แม้ว่าเราขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีในปัจจุบันมันจะมีสิ่งที่คนคิดว่าการแสดงคือแสดงแต่จริง ๆ นักแสดงมันแค่ขึ้นไปแล้วอยู่กับโมเมนต์นั้นอยู่กับปัจจุบันอยู่กับคาแรกเตอร์ เรื่องราว ไม่ใช่ อุ้ย คนนี้แสดงแต่ว่ามันคือศาสตร์ที่เอามาใช้กับการร้องเพลงและการเต้นแล้วมันดี เป็นมิติใหม่มาก ๆ ที่ผมได้เจอจากการแสดงเลยอยากเรียกตัวเองว่าศิลปินมาก ๆ อย่างการไปแสดงมันทำให้เราได้โชว์ความเป็นตัวเองถึงแม้ว่าเราจะเป็นตัวละครแต่สุดท้ายลายเส้นของเราก็จะออกมาจากการตีความของเราเองบวกกับนักเขียนแล้วก็ผู้กำกับด้วยเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ให้คุณผู้ชมได้ดู แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างงานแสดงกับงานที่เป็นนักร้องอยากจะเป็นทั้งสองอย่างเพราะชอบทั้งคู่ตอนนี้เลยค่อนข้างจะเลือกยาก (หัวเราะ)
MF: ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นศิลปินนักแสดงคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ออฟโรด: สำหรับผมคง.. ทำ finance เป็น IB Investment Banker ทำเกี่ยวกับบริษัท อาจจะเติบโตไปเป็นผู้จัดการกองทุน manager ในอนาคตในด้าน finance
ต้าห์อู๋: ถ้าไม่ได้เป็นศิลปินก็คงเป็น influencer เพราะว่าเราเติบโตมากับการร้องเพลง เราทำงานร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เราทำงานหลายอย่างมาก เราคงเป็น freelance เพราะว่าช่วงมหาลัยเราก็ทำงานหลายอย่างตอนนี้ก็คงต่อยอดจากอะไรแบบนั้นไปไม่ว่าจะเป็น ไลฟ์ขายของ ไลฟ์สด ร้องเพลง รับอีเวนต์เป็นพิธีกร แล้วก็เล่น tiktok ทำคอนเทนต์ไปเรื่อย ๆ
MF: สไตล์การแต่งตัวของแต่งละคนเป็นยังไง
ออฟโรด: ผมชอบแต่งตัวชิว ๆ ครับ เป็นคนสบาย ๆ แค่เสื้อยืด หรือสเวตเตอร์ตัวเดียวกับกางเกงยินส์อะไรแบบนี้ครับ everyday look ก็จะประมาณนี้เลยครับ
ต้าห์อู๋: จริง ๆ ผมชอบสตรีทนะ พอผมมานั่งดูเสื้อผ้าของตัวเองที่ซื้อมาไม่ว่าจะเป็นรองเท้าเข็มขัดหรือเอ็กเซสเซอร์รี ผมค่อนข้างที่จะเลือกอะไรที่เป็นแบบสตรีทสำหรับผมแล้วมันดูชิวด้วยแล้วก็ดูเหมาะกับประเทศไทยด้วย เป็นอะไรที่ใส่ง่ายใส่ได้ในหลาย ๆ ที่ไปได้ในหลาย ๆ อย่าง ค่อนข้างที่จะคุ้มที่จะซื้ออะไรสักอย่างนึงอย่างรองเท้า เข็มขัด กระเป๋าอะไรแบบนี้
MF: ไอเทมที่ขาดไม่ได้
ออฟโรด: คงเป็น รองเท้า มั้งครับเพราะถ้าไม่ใส่ก็จะเท้าเปล่า (หัวเราะ) ถ้าต้องมีชิ้นนี้ขาดไม่ได้เลยชอบมากถ้ามาสำรวจตัวเองก็คงเป็น ตุ้มหู มั้งครับที่ไม่เคยถอดเลยใส่ตลอดเวลา
ต้าห์อู๋: ของผมที่ติดมากที่สุดของผมก็จะเป็น แหวน แต่ตั้งแต่หายไปก็ไม่ได้ใส่อีกเลย แต่ติดมากเพราะผมเป็นคนชอบใส่แหวนปกติเวลาแต่งสตรีทจะเป็นแขนยาวนาฬิกากับข้อมืออาจจะไม่ค่อยเห็น อีกอย่างนึงก็คือรองเท้า กลัวเท้าเปล่าก็เลยต้องติด (หัวเราะ) แต่มันก็จะมีรองเท้าคู่โปรดของเรา
MF: มีใครเป็นไอดอลด้านแฟชั่น
ออฟโรด: ไอดอลการแต่งตัวของผมไม่ค่อยมีเท่าไหร่ครับ ผมชอบดูไปเรื่อย ๆ ครับไม่ได้ตายตัวว่าสไตล์ต้องเป็นแบบไหนแต่เราจะดูเพื่อเอามาแมทช์กับตัวเราแบบว่าเราชอบแบบนี้เราเป็นคนขี้ร้อนบางอย่างถ้ารุ่มร่ามก็จะรำคาญเราก็จะเอาแต่ละสไตล์มาแมทช์ให้เป็นตัวเอง
ต้าห์อู๋: จุง อาเชน ครับ จริง ๆ เพื่อนผมคนนี้เป็นคนที่แต่งตัวค่อนข้างที่ดี ดีมาก ๆ เลยนะเป็นไอดอลในการแต่งตัวแต่ผมไม่เคยแต่งตามเลยนะแบบว่าสักวันอยากจะทำได้แบบเขาบ้าง ซึ่งเราอยากจะดูเขาเอาไว้เพราะเพื่อนเป็นคนแต่งตัวเก่ง ใน 1 วันสามารถแบกชุดไปถ่ายรูปได้ถึง 5 ชุด ไอจีโทนการแต่งตัวของเขาคือดี เป็นเทสที่ดีครับ
MF: มองตัวเองในอนาคตอีก 10 ปีว่ายังไงบ้าง
ออฟโรด: ผมอยากมีความมั่นคงครับ ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน ความสามารถ หรือแม้กระทั่งเรื่องของการเงินในจุดนั้นผมคง 34 ผมอยากใช้ชีวิตด้วยแล้วก็เป็นตัวเราที่ beyond ขึ้น มีความมั่นคงในหลาย ๆ ด้านไม่ต้องพะวงกับอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วก็เป็นตัวเองที่มีความสุขแล้วก็จะได้ส่งมอบความสุขของตัวเองให้กับคนอื่นได้
ต้าห์อู๋: ในอีก 10 ปี หรอครับ ผมคงมองว่าตัวเองจะถูก regis เข้าไปในวงการบันเทิง ต้าห์อู๋ อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักแสดงที่อาจจะไม่ได้เก่งอาจจะไม่ได้ perfect มาก แต่ก็อยากให้ทุกคนได้รู้ว่าฉันเป็นนักร้องนะ เป็นนักแสดงนะ อย่างน้อยยังได้เป็นหนึ่งในคนที่ทำงานในวงการบันเทิงแบบนี้ เพราะมันคือสิ่งที่เรารักมาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ คงทำอะไรแบบนั้นอยู่ มีความสุขครับใช้ชีวิตแบบว่าง่ายขึ้น เบาขึ้นสบายขึ้นครับ
MF: อยากฝากถึงคนที่ติดตามเราอยู่
ออฟโรด: อยากขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผมมาตลอดแล้วก็เห็นอะไรในตัวเราในวันนั้นแล้วรู้สึกว่าทำให้เรามีไฟที่จะทำงานให้ออกมาดีที่สุดในทุก ๆ ผลงาน แล้วก็กำลังใจของทุก ๆ คนมันเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ สำหรับผมมันทำให้ผมมีแรงต่อในวันที่รู้สึกว่าเราท้อหรือว่าเราเหนื่อยเขาเป็นกำลังใจที่ดีให้กับเรามาก ๆ สอนเราในหลาย ๆ อย่างเป็นมุมมองที่ว่าการให้หรือการรับระหว่างกันมันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ แล้วก็มีความสุขมาก ๆ เลยครับ ขอบคุณแฟน ๆ ของผมทุกคนที่ทำให้ผมเป็นผมในวันนี้แล้วก็ได้เห็นแฟน ๆ เติบโตไปด้วยกันก็มีความสุขครับ
ต้าห์อู๋: สำหรับผมต้องขอบคุณแฟนคลับทุกคนมาก ๆ แรงซัพพอร์ตทุกที่เลยคนที่ติดตามเรามาตั้งแต่แรก ๆ จนถึงปัจจุบัน คนที่เข้ามาใหม่หรือคนที่เคยเจอเราคนที่คอยสนับสนุนไม่ว่าจะทางไหนก็ตามอย่างที่บอกว่าสิ่งนึงที่มีความสุขสำหรับผมคือการทำสิ่งที่ผมรักและสิ่งที่ผมรักคือการได้ร้องเพลงให้ใครสักคนฟังมันเลย audience สำหรับผม มันเลยสำคัญสำหรับผมมาก ๆ ผมยังตั้งกลุ่มไลน์กรุ๊ปว่า มิตรรักแฟนเพลง เลย ผมรู้สึกว่าแฟน ๆ ที่คอยซัพพอร์ตเราอะไรงี้เป็นอีกหนึ่งความสุขของเราเหมือนกัน เหมือนเป็นเป้าหมายให้เราคอยย้ำเตือนว่าเราทำอะไรเพื่ออะไรอยู่เราไม่ได้ทำงานในวงการเพื่อตัวเองคนเดียวเราแค่อยากสร้างสรรค์ผลงานตัวเองให้ดีเพื่อให้ใครสักคนนึงได้ฟังมันเลยทำให้เรายังคงทำงานต่อไปและออกมาแบบมีบรรทัดฐานหรือมีแพชชันออกมาให้ใครสักคนหรือให้มัมหมีของเราได้ดูให้แฟน ๆ ของเราได้ดูต่อ ๆ ไปอะไรแบบนี้ครับ