นำเสนอความเป็นตัวตนใหม่ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น พร้อมให้ทุกคนได้สัมผัสกับสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างใกล้ชิด พร้อมบทสัมภาษณ์สุดพิเศษของเขาได้ใน #MensFolioFocus
MF: ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว ไบร์ทมี New Year’s Resolution อะไรที่สำเร็จไปแล้วบ้าง
ไบร์ท: ข้อแรกเลยคือ เลิกเหล้า ปีนี้ยังไม่ได้ดื่มสักคำ ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำมัน แล้วก็ไม่คิดว่าจะทำได้ด้วย ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆ รู้สึกว่าตัวเองมีเวลาทำอะไรเยอะขึ้นมากๆ เลย แต่เหงามากเพราะไม่มีเพื่อนเลย พอเลิกเหล้า (หัวเราะ) เพราะสังคมเราตื่นเย็น ปาร์ตี้กันหมด พอเราเปลี่ยนวิถีมาเป็นช่วงเช้านี่เหงาเลยครับ แต่ก็คิดว่าน่าจะดี (หัวเราะ)
MF: มีอะไรไหมที่รู้สึกว่า “รู้งี้ทำนานแล้ว”
ไบร์ท: รู้งี้ทำตั้งนานแล้วเหรอ จริงๆ มันก็คือเรื่องการตื่นเช้าเนี่ยแหละ เมื่อก่อนทั้งชีวิตเราจะไม่ชอบพระอาทิตย์เลย รู้สึกว่าร้อนก็ร้อน ไม่ชอบตอนกลางวันเลย ชอบตอนกลางคืน ชอบตอนเย็น ชอบเงียบๆ อะไรงี้ แต่พอเราเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นช่วงเช้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าชอบแสงแดด ชอบพระอาทิตย์ รู้สึกว่ามันทำให้เราตื่นตัว มีพลัง มีกำลังใจทำอะไรมากมายเลยอะ สมมติเมื่อก่อนวันว่างเราตื่นบ่ายสอง พอเปลี่ยนมาตื่นหกโมงเจ็ดโมง กลายเป็นว่า เออ ก็ได้อยู่กับตัวเอง ได้คิด ตื่นมาได้ยินเสียงนกร้อง คือปกติ โห เสียงนกร้องคือก่อนนอน นี่ตื่นมารู้สึกว่ามันเป็นการเปิดรับวันใหม่ที่ดีมาก แล้วก็อีกเรื่องนึงคือ ตั้งแต่เด็กผมค่อนข้างจะไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับ จิตวิญญาณ ศาสนา ความเชื่อ กลายเป็นว่า เฮ้ย เรามองข้ามมาตลอดชีวิต แต่พอเราเข้ามาศึกษาจริงๆ รู้สึกว่ามันทำให้ความคิดเราเปลี่ยน ทำให้เราอยากมีชีวิตต่อไป ทำให้เรานึกถึงผู้อื่น เราอยากเป็นผู้ให้ นอกจากผู้รับ รู้สึกว่า โหย ถ้าเราคิดอย่างงี้ได้ตั้งแต่อายุ 15 ก็คงจะเป็นคนที่ดีมากๆ ไปแล้ว
MF: เวลาได้รับบทบาทใหม่ๆ ไบร์ทมีเทคนิคในการเตรียมตัวยังไง
ไบร์ท: จริงๆ คุยกับตัวเองเยอะครับ ทริคง่ายๆ ที่ทำตลอดก็คือ เวลาจะตัดสินใจอะไร จะซื้อกาแฟ ซื้อเสื้อผ้า เดินทาง เราจะคิดว่า ไบร์ทจะเป็นยังไงใช่ไหม สมมติวันนี้ไบร์ทออกจากคอนโดจะมาตึก ไบร์ทนั่งวินดีกว่า แล้วตัวละครนั้นล่ะ? ถ้าเป็นมัน มันจะไปยังไง ในสถานการณ์ที่ฝนกำลังจะตก หรือว่าในวันที่ตื่นมาแล้วหงุดหงิดสุดๆ ตัวละครนั้นจะเลือกวิธีไหน เราจะซื้อข้าวกิน เฮ้ย ไบร์ทอยากกินกะเพราหมูกรอบ แล้วตัวละครนี้จะกินอะไร อะไรแบบนี้ เราก็จะเริ่มรู้จักตัวละครนั้นมากขึ้นแล้วว่าเขาเป็นคนประมาณไหน เขาใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจครับผม
MF: บทบาทไหนที่รู้สึกว่าใกล้เคียงกับตัวเองที่สุด
ไบร์ท: จริงๆ ใกล้เคียงหลายอัน เพราะว่าวิธีทำตัวละครของไบร์ทคือ ไบร์ทจะเอาตัวเองเข้าไปหาตัวละคร เราไม่ได้คิดว่า ห้า สี่ สาม สอง แล้วค่อยกระโจนเข้าไปเป็นตัวละคร แต่เราจะเอาตัวเองเข้าไปหาตัวละครตั้งแต่ก่อนจะถ่ายเลยด้วยซ้ำ มันจะได้เข้าใจกันครับ คือไม่ได้เข้าไปหาทั้งหมด เราไปหาตัวละครสัก 70% แล้วก็ดึงตัวละครมาหาเราสักหน่อย เพื่อความสบายใจการทำงาน เพราะไบร์ทรู้สึกว่าถ้าไบร์ทเอาตัวเองเข้าไปหาตัวละคร 100% เลยเนี่ย ไบร์ทกลัวลืมตัวตนตัวเองเหมือนกัน แบบ… เรื่องพวกนี้มันละเอียดอ่อน มันยาก ก็แล้วแต่เรื่องครับ
อย่างเรื่อง “Love Lesson 101” เนี่ย เราเอาตัวเข้าไปหาตัวละครเยอะ แล้วตัวละครนี้คือเราไม่ต้องฝืนมาก คือเราเคยเป็นอย่างงั้นเลยอะ จริงๆ ช่วงทำตัวละครก็เป็นอย่างนั้นเลย ตอนนั้นเวลาสัมภาษณ์เราก็พูดตลอดว่า เฮ้ย เราทำการบ้านตัวละครอยู่ (หัวเราะ) เราเที่ยว กินเหล้า อะไรงี้ ซึ่งมันก็เป็นข้ออ้าง แตก็เป็นความจริงด้วยอยู่พร้อมๆ กัน เราพยายามทำตัวเองให้เป็นตัวละครนั้น ดูสิว่าอยู่กับมันไปนานๆ กับความรู้สึกตัวละครแล้วเราจะรู้สึกยังไง จะเป็นยังไง กลายเป็นว่าไบร์ทในชีวิตจริงเบื่อไปเลย ไม่อยากเที่ยว ไม่อยากกินเหล้า แบบเอียนไปเลยอะ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจว่า “นนท์” ตัวละครเนี่ย ชอบอะไรในการเที่ยว คือต้องออกไปหาสาวๆ ทุกวัน ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลนะ มันมีเหตุผลอยู่ มันมีปมอะไรในวัยเด็กรึเปล่า มันต้องการเอาความเจ้าชู้ ความเป็นเสือมาปกปิดอะไรบางอย่างรึเปล่า เราก็หามันจนเจอ พอเราเข้าใจตรงนั้น เราก็โอเค เก็ทละ ทีนี้ก็ทำงานง่ายละ
MF: ถ้าสามารถทำอะไรก็ได้ในวงการบันเทิง ไบร์ทอยากลองทำอะไร
ไบร์ท: ถ้าไร้เงื่อนไขเลยนะ ไบร์ทอยากกำกับการแสดง เรื่องอื่นเราอาจจะไม่ได้รู้อะไรมาก แต่เรารู้สึกว่าการแสดงเป็นเรื่องที่วิธีการของนักแสดงแต่ละคนอะไม่เหมือนกัน วิธีการทำงานไม่เหมือนกัน แนวคิดก็ไม่เหมือนกัน แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสได้กำกับ เราอยากให้มันลองเป็นในวิถีของเราดู มันจะเป็นยังไงนะ วิถีที่ไม่ใช่เอาทุกคนมาทำการแสดงกัน คือเอาทุกคนมาเล่นกันเหมือนสนามเด็กเล่น แค่ทุกคนชัดๆ ในตัวละครพอว่า ตัวที่ฉันเล่นเนี่ยมันเป็นคนยังไง มันคิดยังไง มันทำยังไง แล้วก็ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องสนใจบทอะไรมาก แค่รู้ก็พอว่าฉากนี้มาทำอะไร มีอะไร แล้วก็ปล่อยใจฟรีๆ ไปเลย ไม่ต้องฟิกซ์มาก เพราะไบร์ทรู้สึกว่ากับดักของละครคือทุกอย่างมันฟิกซ์เกิน ทำให้เสน่ห์มันไม่ออก ทุกคนเล่นแบบกลัวผิดอะ คือฉันต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหนึ่งที ทุกอย่างเป็นจังหวะ มันดูเซตไปหมด (MF: แปลว่าอาจจะเป็นฟีลแบบ long take?) อืม ก็ได้ อะไรก็ได้ แค่อยากลอง แต่ว่าไม่ใช่เป็นอาชีพที่อยากทำนะ แค่อยากลองทำสักโปรเจ็กต์ สองโปรเจ็กต์
MF: สถานที่โปรดที่ชอบไปพักผ่อนหรือหาแรงบันดาลใจคือที่ไหน
ไบร์ท: อืม… ถ้าตั้งเป้าว่าจะไปหาเลยจริงๆ ไบร์ทคงไปเกาะ จริงๆ เมื่อก่อนชอบไปพวกภูเขา ได้อยู่กับตัวเองดี แต่ว่าหลังๆ เริ่มไปเกาะ แบบที่มันเป็นเกาะจริงๆ อะ ไบร์ทรู้สึกว่ามันได้เห็นผู้อื่นด้วย ไปป่ามันอยู่กับตัวเอง แต่พอไปเกาะเรารู้สึกว่าเราได้เห็นวิถีชีวิตของคนอื่น คนที่มาอยู่เกาะ ที่ทำงานในเกาะแต่ละคน ไบร์ทได้คุยกับเขาเยอะมาก ตอนนั้นไปเกาะเต่า แล้วก็คุยกับคนโน้นคนนี้ มันมีแต่ฝรั่ง แล้วก็มีคนไทยที่มาทำงานที่นั่น ชีวิตแต่ละคนคือไม่ธรรมดาเลยอะ แบบ… อกหักจะฆ่าตัวตาย ไม่เอาอะไรแล้ว แล้วก็มาตายดาบหน้าที่เกาะ แล้วก็อยู่ยาว บางคนก็ทะเลาะกับที่บ้าน ถูกไล่ออกจากงาน มีความผิด เข้าคุกมา อะไรงี้ คือมันหลากหลายมาก แต่วาไรตี้มากนะ ซึ่งพอทุกคนมาอยู่เกาะ ทุกคนเหมือนเล่นเกม ลบตัวละครเก่าทิ้ง แล้วสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมา แบบฉันจะเริ่มใหม่กับชีวิตที่นี่ ฉันจะมีความสุขกับที่นี่ ไบร์ทรู้สึกว่า เฮ้ย มันเป็นอะไรที่เฟี้ยวมาก แล้วพอได้คุยกับคนหลายๆ แบบ รู้สึกมันได้อะไรครับ ได้เอามาทำงาน
MF: ไบร์ทมีงานอดิเรกหรือความสนใจอะไรที่คนไม่ค่อยรู้ไหม
ไบร์ท: จริงๆ คนอื่นรู้หมดนะเพราะไบร์ทเป็นคนเปิดเผยมาก (หัวเราะ) ไม่เคยปิดบังอะไรเลย มันก็เป็นช่วงๆ ไบร์ทอะมีข้อเสียคือ เป็นคนจดจ่อกับอะไรนานๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นตอนนี้ ดนตรีอ่ะอยู่มาสักพัก ไม่ได้เล่นจนเก่งนะ เล่นกับเพื่อนจอยๆ สนุกๆ แล้วก็ชอบต่อยมวย ชอบยิงปืน เท่านี้เลย
MF: หนุ่มแอคทีฟแบบไบร์ท มีช่วงเวลาเนือยๆ บ้างไหม
ไบร์ท: เยอะครับ แต่คนก็ไม่ค่อยรู้หรอกช่วงเนือยอะ แต่มันก็มีเรื่อยๆ แหละ แบบช่วงที่เราสับสนกับตัวเอง… คือทุกวันนี้ก็ยังสับสนอยู่นะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นละ แต่คือที่ผ่านมาอะ เราสับสน เรามีเรื่องกังวล มีเรื่องเครียด แต่ว่าก็ “เฮ้ย ช่างมันๆ” “เดี๋ยวค่อยๆ” แล้วมันก็ได้ผลมาตลอด จนกระทั่งปีที่ผ่านมา เรารู้สึกเหมือนทุกอย่างมันตีกลับพร้อมๆ กันหมดเลย เรื่องที่เราเคยเดี๋ยวก่อนๆ มันเต็มหัวไปหมด เราเลยต้องใช้เวลาคุยกับตัวเอง โอเค ชีวิตฉันต้องการอะไรกันแน่ ต้องการเงินเหรอ หรือต้องการอะไร เพราะรู้สึกที่ผ่านมาชีวิตติดกับดักเงินมาก ทำงานหาเงินมาเรื่อยๆ แล้วไงต่อ เท่าไหร่ถึงจะพอ? ไม่มี
เจ็ดปีที่แล้วบอกว่า “อ่อ เดือนละสองสามหมื่นก็อยู่ได้แล้ว” พอผ่านเวลามามันก็ไม่ใช่ กลายเป็นว่าเราไล่ตามอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีอยู่จริง ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ที่ทำให้เรามีความสุขและอยู่กับมันได้ กลายเป็นว่ามันไม่ใช่เงิน เราคิดผิดมาตลอด
MF: ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้ไบร์ทมีความสุขที่สุดในทุกๆ วัน คืออะไร
ไบร์ท: พระอาทิตย์ครับ คือตอนนี้กลายเป็นว่าความสุขของผมคือการตื่นเช้ามา กินน้ำ แล้วก็… เหมือนคนบ้านะถ้าคนอื่นเห็นอะ ไม่รู้คอนโดฝั่งตรงข้ามเขาจะหาว่าเราบ้ารึเปล่า (หัวเราะ) คือเปิดมาแล้วก็แบบ… “ฮ้า!” เหมือนจะโยคะอะ ยืนแบบนี้ทุกวัน บางทีเราก็อธิษฐาน คุยกับพระเจ้าบ้าง คุยกับตัวเองบ้าง อยู่กับพระอาทิตย์จริงๆ เรารู้สึกว่ามันตื่นดี แล้วก็สดใส เพราะว่าสตาร์ทวันมาแบบนั้นแล้วเรารู้สึกว่า เออ วันนี้เราชิลๆ กลับกันถ้าตื่นมาแล้วแบบ… “โอ๊ย! อีกละ” “โอ๊ย! เวลาไม่ทันละ” เราสตาร์ทวันด้วยอารมณ์เนี้ย วันนั้นคือพังทั้งวัน แล้วพังมาตลอด 5-6 ปี พอเริ่มต้นแบบนี้เลยกลายเป็นว่า “โอ้! เราน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานละ” มันดีมากเลย มันเป็นแค่ mindset เล็กๆ น้อยๆ จาก “โอ๊ย! งานอะไรอีกเยอะแยะ” เป็น “โอ๊ะ! วันนี้มีงานอะไรให้ทำบ้างนะ” แค่เนี้ย mood มันเปลี่ยนเลยครับ
MF: ถ้า “No Mayonnaise Please” แล้วอาหารอะไรที่ไบร์ทชอบจนต้องบอกว่า “More Please”
ไบร์ท: คำว่าชอบของไบร์ทคือต้องชอบแล้วรู้สึกดีที่ได้กินด้วย ถ้าแบบกะเพราหมูกรอบเนี่ยชอบนะ แต่กินเสร็จแล้วไม่ได้รู้สึกดี รู้สึกผิด แบบฉันเอาของอะไรเข้าไปในร่างกายเนี่ย แต่ถ้าชอบแล้วรู้สึกดี ไบร์ทรู้สึกว่า ชอบกินเนื้อ เนื้อวัว Ribeye มีเดียม โรยเกลือ คือโอเคละ กินแล้วก็อร่อยด้วย แล้วก็รู้สึกว่าดีต่อสุขภาพด้วย เนื้อไก่ เนื้อวัว ชอบกินเนื้อสัตว์ครับ
MF: มีอะไรในอดีตที่รู้สึกอยากกลับไปแก้ไขไหม
ไบร์ท: ไม่มีครับ รู้สึกว่าทุกอย่างคือบทเรียนที่ดีมาก มีอะไรที่พลาดไปเยอะมาก แล้วที่ผ่านมาผมไม่ค่อยยอมรับในความพลาดของตัวเอง แต่วันนี้เรารู้สึกว่าเรายอมรับทุกความผิดพลาด แล้วก็รู้แล้วว่าอะไรพลาดไป ก็ไม่ได้อะไรอยากแก้ เพราะทุกอย่างเป็น timing ของมันอะ เป็นจังหวะชีวิต บางทีมันเป็นช่วงที่เราต้องพลาด เราถึงเติบโต รู้สึกว่าชัยชนะไม่ได้ทำให้คนเติบโต ชัยชนะมักจะมีของแถมเป็น ego เสมอ แต่พอเราพ่ายแพ้ เราจะรู้แล้วว่า ฉันแพ้ตรงไหน ฉันพลาดอะไรไป เราก็ได้แก้มัน ผมเลยเริ่มเสพติดความพ่ายแพ้แล้วตอนนี้ มันทำให้เราโตขึ้น ถ้าเราก้าวผ่านจุดที่มัน suffer ได้ ก็จะรู้สึกว่าโอเค ฉันก้าวหน้าละ ฉัน upgrade ตัวเองได้ละ
MF: ไบร์ทในอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า จะเป็นยังไง
ไบร์ท: ไม่ได้เจอผมหรอก ผมน่าจะเลี้ยงลูกอยู่ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าผมอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ที่ดี นั่นคือความฝันระดับนึง มันไม่ใช่เงินทองสิบล้านร้อยล้านอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้สึกแค่ว่าเราอยากจำกัดวงของเราอะ วงสิ่งแวดล้อม คนรู้จัก หรืออะไรก็แล้วแต่ให้เป็น small circle จะย่อมันลงมา แทนที่เราจะมีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้ใส่ใจใครเลย เราอาจจะย่อลงมาให้เหลือไม่กี่คนที่เราใส่ใจและเราดีกับเขา เป็นคนที่เขารักเรา เพราะผมรู้สึกว่าเรื่องที่ดีที่สุดคือ คนที่เรารักเขาแล้วเขาก็รักเรา นั่นคือดีมากแล้ว
Editor in Cheif and Fashion Director Daneenart Burakasikorn
Photo Thanut Treamchanchuchai
Makeup @hollyhua
Hair @powerthanat
Clothes Palm Angel และ Moschino
#ไบร์ทนรภัทร
#Brightnorr
#MensFolioThailandJuly2024
#MensFolioThailand
#MensFolioTH