The Fate of Ophelia 1 ในเพลงจากอัลบั้มชุดที่ 12 The Life of a Showgirl ของ Taylor Swift ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา Ophelia จาก Hamlet หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อความรักที่ Taylor ได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ภายในเพลงทั้งการจมอยู่กับความเศร้า ความสิ้นหวัง และอาจรวมไปถึงภาวะซึมเศร้า
แต่ภายในเพลงได้เล่าในมุมกลับเรื่องราวของโอฟีเลียเป็นเพียงฉากสะท้อนภาวะอันเปราะบางของตัวเอง ก่อนพลิกเรื่องราวด้วยการมีใครบางคนได้ช่วยเธอออกจากความมืดมิดนั้นและมอบความรักที่ทำให้เธอไม่พบจุดจบเดียวกับ Ophelia
เนื้อเพลง “The Fate of Ophelia” สะท้อนความเปราะบางโดย น้ำ แทนความเศร้า ความเจ็บปวดที่ทำให้จมดิ่ง, หลุมศพ สภาวะที่แทบไม่เหลือความหวังหรือความสุข, การถูกช่วยขึ้นมา การได้รับพลังชีวิตใหม่จากความรักและการดูแล และ Ophelia สัญลักษณ์ของหญิงสาวที่ถูกทิ้งให้เผชิญความเศร้าเพียงลำพัง
“And if you’d never come for me
I might’ve drowned in the melancholy”
“ถ้าเธอไม่เคยเข้ามาหาฉันเลย
ฉันก็คงจมลงไปในความเศร้าสุดลึก”
“Late one night, you dug me out of my grave and
Saved my heart from the fate of Ophelia”
“ในคืนอันเงียบงัน เธอขุดฉันขึ้นมาจากหลุมศพ
และช่วยหัวใจฉันไว้ ไม่ให้เผชิญชะตาแบบโอฟีเลีย”
“You saw the water rise above my head
But you held me up, you loved me instead”
“เธอเห็นว่าน้ำกำลังท่วมเหนือศีรษะฉัน
แต่เธอกลับยกฉันขึ้น กอดฉันด้วยความรักแทน”

หากพูดถึง Ophelia คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของตัวละครหญิงผู้เปราะบางจากบทละครเรื่อง Hamlet ของ William Shakespeare บทละครโศกนาฎกรรมที่ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1600 – 1601 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง และมีอิทธิพลมากที่สุดในวรรณกรรมตะวันตก
เรื่องราวกิดขึ้นที่ราชสำนักเดนมาร์กว่าด้วยเจ้าชาย Hamlet สูญเสียพระบิดากษัตริย์เดนมาร์ก ไปอย่างกระทันหันและเพียงไม่นานพระราชินี Gertrude ก็ได้แต่งงานใหม่กับ Claudius น้องชายของกษัตริย์ผู้ล่วงลับ และก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ Hamlet ได้พบกับวิญญาณของพระบิดาและได้เปิดเผยว่าตนถูกเกลาดิอุสวางยาพิษเพื่อช่วงชิงทุกอย่างไป Hamlet จึงสาบานจะแก้แค้น แต่กลับลังเล สับสน ระหว่างการลงมือกับศีลธรรมและความจริง
Ophelia เป็นลูกสาวของ Polonius และเป็นคนที่รัก Hamlet ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความใกล้ชิดจนเกิดเป็นความรัก แต่ Polonius และ Laertes พี่ชายของ Ophelia ได้เตือนให้เธอระวัง Hamlet ว่าอาจจะไม่จริงใจกับเธอ Hamlet หลังจากรู้ความจริงเรื่องการตายของพ่อก็แกล้งทำตัวเป็นบ้าเพื่อสืบหาความจริง ทำให้เขาปฎิบัติต่อ Ophelia อย่างโหดร้าย ปฎิเสธความรักที่เธอมอบให้ และพูดจาทำร้ายจิตใจ
วันหนึ่ง Hamlet พลั้งมือฆ่า Polonius ทำให้ Ophelia สูญเสียทั้งพ่อและความรัก เธอเสียสติ ร้องเพลงเศร้าและพร่ำถึงดอกไม้ที่มีความหมายแฝงอย่าง ไวโอเล็ต โรสแมรี่ ฟีแนนแกรก สุดท้ายโอฟีเลียตกลงไปในสายน้ำท่ามกลางดอกไม้และจมน้ำตาย

นอกจากเรื่องชวนใจสลายจากบทละครแล้ว ยังมีอีก 1 เรื่องราวของภาพวาด Ophelia ของ John Everett Millais ในปี ค.ศ. 1851–1852 สิ่งแรกที่หลายคนจดจำคือความงามที่ชวนใจสลายของตัวละคร Ophelia ท่ามกลางดอกไม้ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ แต่เบื้องหลังภาพงดงามนี้ มีเรื่องราวของ Elizabeth Siddal ศิลปินและนางแบบชาวอังกฤษ ที่ยิ่งทำให้ภาพนี้มีชีวิตและความสมจริงขึ้นอีก
Siddal ศิลปินและนางแบบชาวอังกฤษในยุควิกตอเรียน ได้ถูกเลือกให้มาเป็นแบบ Ophelia เพื่อให้ได้ภาพที่สมจริง เธอต้องนอนในอ่างน้ำที่อุ่นด้วยเทียนไขหลายชั่วโมงต่อวัน ในบางครั้งเทียนไขดับลง ทำให้น้ำในอ่างเย็นจัด Siddal ยังคงโพสท่าอย่างอดทน จนกระทั่งเธอป่วยและเสียชีวิตจากการปอดบวม
ดอกไม้แต่ละชนิดที่ถูกจัดวางรอบตัว Opheli มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งตาม “ภาษาดอกไม้” ของยุควิกตอเรียน เช่น ดอกป๊อปปี้ (Poppy) แสดงถึงความตายหรือการหลับใหลอย่างสงบ, เดซี่ (Daisy) แสดงถึงความไร้เดียงสาและความรักที่บริสุทธิ์, แพนซี่ (Pansy) แสดงถึงความคิดถึงหรือความรักที่ยังคงอยู่, เวอร์บีนา (Verbena) แสดงถึงความรักที่ซื่อสัตย์ และวิลโลว์ (Willow) แสดงถึงความเศร้าโศกและการสูญเสีย