MF: แนะนำตัวกับชาว MF
นนน: สวัสดีครับ นนน เป็นศิลปิน นักแสดง ครับ
MF: นิยามความเป็น นนน
นนน: นิยามของผมคือ พยายามจะไม่เหมือนใครครับ ใช้คำว่าพยายามเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราเป็นคนโล้น โล้นในแง่ของการที่ถ้าช่วงนั้นอินอะไรก็เป็นอะไรก็ได้ เพราะงั้นเลยนิยามตัวเองว่า พยายามไม่เหมือนใคร
MF: พูดถึง GMMTV MUSICON IN NANNING 2025
นนน: Musicon ก็เหมือนค่ายจะให้โอกาสกับคนที่มี Potential ในการจะเป็นศิลปิน เรียกว่าชอบที่จะร้องเพลง Perform หรือเด็กที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องดนตรีจริง ๆ แล้วก็จะมี Lable อีกฝั่งที่เขาจริงจังกับเรื่องการทำเพลง มี Direction ที่ชัดเจน มีความกระเหี้ยนกระหือรือในการจะทำเพลงหรือ Explore อะไรบางอย่างผ่านเพลง ส่วน GMMTV ก็เรียกว่าเป็น Stage แรกของคนที่ค่ายมองเห็นความเป็นศิลปินแบบคนนี้ร้องเพลงเพราะ คนนี้ชอบร้องเพลง คนนี้รักในการร้องเพลง ส่วนที่หนานหนิงก็เป็นงานที่เราก็งงเหมือนกันเพราะมันเป็นวันที่ 5 มกราคม ซึ่งมันพึ่งปีใหม่ก็เลยคิดว่า.. คืองาน Musicon เป็นงานที่ผมอยากจะไปเพราะว่าหลัง ๆ เราเริ่มเป็นศิลปินเดี่ยวมีทัวร์คอนเสิร์ตคนเดียวมันก็จะมีความแบบว่าเหงาเหมือนกันนะ ล่าสุดที่ไปเอเชียทัวร์รอบสุดท้ายเรามีเล่นวันเสาร์ก็นั่งรถจากหนานหนิงไปฮ่องกงต่อแต่ก็แฮปปี้มากในการเจอเพื่อน หลัง ๆ พอเราทำงานศิลปินเราไม่ได้คอนแทคกับใครในค่ายเลย นี่ก็จะเป็นงานเดียวเลยที่ได้ติดต่อกับคนในค่ายได้เจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ เรา
MF: เตรียมตัวยังไงบ้าง กดดันไหม
นนน: สำหรับ Musicon ผมชิวมากเลย เพราะปกติผมไปทัวร์ประมาณ 30 เพลง 2 – 3 ชั่วโมง แต่อันนี้มันมีเพื่อนด้วยเราก็ร้องแค่ประมาณ 3 – 4 เพลง เราเลยรู้สึกว่านี่คืองานสบายเรา เราสนุกมากกว่า เราไม่ค่อยกดดันเท่าไหร่เพราะว่ามันทำงานเป็นทีมเราไม่ค่อย Strict กับหมู่มวลเท่าไหร่ แต่ Quality ก็เท่าเดิมแหละ แล้วก็เรื่องของการเตรียมตัวรอบนี้มีการคุยกันหลาย ๆ ฝ่ายว่าอยากให้มันแตกต่าง เพราะ Musicon มันมีมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็เลยพยายามปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างให้รู้สึกว่ามันมีอะไรที่ใหม่ทุกครั้ง ก็มีอะไรหลายอย่างที่เตรียมกับทีมให้มีอะไรที่มันว้าว
MF: แล้ว Scarlet Heart Thailand ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว
นนน: ตอนนี้ก็เรียนครับ เรียนต่าง ๆ นา ๆ เลยครับ Scarlet Heart Thailand มันเป็นพีเรียดนิดนึงซึ่งพออิงกับความเป็นไทยเราไม่ได้อิงกับซีรีส์เกาหลีหรือจีนที่เป็นต้นฉบับแต่เราไปอิงกับนวนิยาย ถ้าใครที่เคยดูซีรีส์เกาหลีแต่ไม่ได้ดูของจีนก็จะไม่คุ้น พอเรามาอ้างอิงกับวัฒรธรรมไทยก็เลยจะมีพวกขี่ม้า เรียนรำ ฟ้อนเจิง เป็นการรำทั้งแบบมีดาบและไม่มีดาบซึ่งมันจำเป็นต้องใช้ แต่ละคนก็เริ่มจะเรียนเพิ่มตามคาแรกเตอร์ในเรื่องใครต้องเด่นอะไร คนนั้นก็ต้องดึงจุดนั้นออกมาให้ได้ ผมต้องเก่งทุกอย่าง (หัวเราะ) ก็เลยต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มอ่านบทจะมีพาร์ทการเรียนการพัฒนาสกิลเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่บท
MF: ความท้าทายที่เราได้รับจากเรื่องนี้
นนน: มันท้าทายในทุก ๆ ด้านเลย แต่ท้าทายที่สุดจะเป็นเรื่องหุ่น ผมกระจอกสุดเลยใน 7 คน เพราะผมเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่าก็ต้อง Push ตัวเองในหลายเรื่องเหมือนกันด้วยบทที่เราได้รับ ผมคิดว่าคนก็ต้องพอเดาได้ว่าทำไมผมถึงรับเล่นเรื่องนี้ แต่ก็เป็นความท้าทายในเรื่องของบทบาทที่เราได้รับ การที่โมเม้นต์บางอย่างที่เราสามารถพลิกแพลงและแตกต่างจากบทได้มันเลยท้าทานสำหรับเรา แล้วอีกความท้าทายนึงคือเราจะตีความยังไงให้มันต่างจากภาพเดิมเพราะเขาทำมาดีแล้วเราจะทำให้ดีเท่าเดิมหรือดีกว่าหรือเท่าเดิมยังไงโดยที่มันไม่ไปติดเงาของต้นฉบับก่อนหน้านั้น
MF: แล้วเป้าหมายของนนนในวันนี้เป็นยังไง
นนน: ต่างกันเยอะเลยครับ ถ้านับจากวันแรกที่เข้าวงการมานับจากวันแรกที่โฟกัสว่าเราทำงานแล้วซัพพอร์ทที่บ้านยังไงได้บ้างช่วยพ่อแม่หาเงินเราโฟกัสแค่เรื่องความเป็นอาชีพและการทำงานหาเงิน พอเราทำงานมาเรื่อย ๆ เราโชคดีที่กลายเป็นเรารู้สึกว่า Passion ที่เราชอบ Passion ที่เรารักอยากจะทำมันอยู่ในสิ่งนี้พอดีซึ่งก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันหมายถึงว่าบางอย่างเราไม่ได้ชอบแต่สิ่งที่เราชอบมันดันอยู่ในนั้น ถ้าวันนี้อยากเป็นศิลปินที่ดีและมีความสุข ดีในแง่ของการที่เราทำอะไรก็ตาม คือเราอยากเป็นศิลปินที่สร้างงานอะไรทิ้งไว้ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์กับใครหรือไม่แต่แค่อยากสร้าง เรารู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไหม แต่เราก็ยังอยากสร้างอะไรไปเรื่อย ๆ มันคือสิ่งที่เราทำได้ดีและเราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรอย่างอื่นได้ดีเท่านี้มั๊ย
MF: เห็นว่าชอบเล่นฟุตบอลถ้าวันนี้ไม่ได้เข้ามาในวงการคิดว่าตัวเองจะไปเป็นนักฟุตบอลไหม
นนน: คิดว่าอยากลองดู แต่ไม่รู้ว่าเราจะเป็นได้มั๊ยเพราะว่าเอาจริง ๆ ถ้าเรารู้จักตัวเองเราจะรู้ว่าเราฝึกอะไรมากพอเราจะเก่งสิ่งนั้นได้ เพราะเรารู้จักตัวเองว่าเราเป็นคนเรียนรู้ไว เราพลิกแพลงได้ดี แต่ก็คิดมาตลอดว่าถ้าไม่ได้ทำงานในวงการก็อาจจะไปทางนั้นเลยหมายถึงทำอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลสักอย่าง เรารู้สึกว่าแก่นของเราคือการชอบทำอะไรซ้ำ ๆ แล้วยิ่งเป็นสิ่งที่ชอบเราก็จะทำมันได้เรื่อย ๆ มันก็มีอยู่ 2 ทางคือ เป็นนักฟุตบอลไปเลยกับสุดท้ายแล้วก็ยังอยู่ในวงการแต่เป็นผู้กำกับหรือทำงานกองไปเลย เพราะเราอินอยู่แค่ 2 อย่างนี้ ทีมที่ชอบมากก็ Chelsea F.C. ส่วนนักฟุตบอลก็เป็น Eden Hazard กับ Petr Cech ครับ Hazard เป็นคนที่ชอบที่สุด
MF: ได้ยินมาว่า นนน เคยมีอาการ Burnout มีวิธีจัดการกับมันยังไง
นนน: พักครับ ก็หยุดแสดงไปเลยปีกว่า หลายคนอาจจะคิดว่ามันนิดเดียวเพราะมีผลงานที่ทำไว้ก่อนแล้ว ซึ่งเราพักนานมากจนล่าสุดมีซีรีส์ที่กว่าเราจะดึงสกิลกลับมาได้หรือรื้อฟื้นอะไรหลายอย่างก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน เรารู้สึกว่าการพักไปทำอย่างอื่นอย่างช่วงหลังก็จะเห็นว่าเราไปทำงานด้านศิลปิน การร้อง การทำเพลง เรารู้สึกว่าถ้าเราฝืนทำต่อไปทั้งที่ Passion เรายังไม่กลับมาความกระเสือกกระสนในการจะทำให้มันดีมันไม่กลับมางานก็จะไม่ดีแล้วเราก็จะไม่ชอบงานตัวเอง เราเลยรู้สึกว่าถ้าหมดไฟก็พักครับ
MF: ถ้ามีเวลาว่าง 1 วัน จะทำอะไร
นนน: นอนครับ นอนเท่านั้นเลย คำที่ผมชอบใช้มากที่สุดคือทำตัวยังไงก็ได้ให้เวลาเปล่าประโยชน์ที่สุดครับ ผมพึ่งค้นพบว่าชีวิตมันก็แค่นี้เอง หลังจากตื่นมามีอะไรก็ทำสิ่งนั้นแล้วก็ฟรี นั่นคือชีวิตที่เรียบง่ายสำหรับผม แต่จริง ๆ ผมทำไม่ได้นะสุดท้ายแล้วหัวผมมันจะคิดอะไรตลอดเวลา ทุกสิ่งที่ผมมองมันเป็นงานหมด ผมสามารถนั่งอยู่ดี ๆ แล้วก็มีอะไรแล่นเข้ามาในหัวได้ คิดเรื่องนู่นเรื่องนั้นมันก็จบที่เรื่องงานอยู่ดี สมองผมไม่เคยหยุดทำงานเลยครับ
MF: พูดเรื่องแฟชั่นบ้าง สไตล์การแต่งตัวของ นนน เป็นแบบไหน
นนน: หลัง ๆ เริ่มศึกษามากขึ้นครับ (หัวเราะ) การหน้านี้ต้องยอมรับว่าเราแต่งตัวใช้คำว่าทุเรศได้เลย เราเวลาทำงานอยู่กองเราจะเน้นเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เวลาไปกองเราไม่ได้ใส่ชุดตัวเองเลย เราใส่ขาสั้นเสื้อยืดตัวเดียว กางเกงออกกอง 3 – 4 วัน เราใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวเท่านั้น พอมีงานเริ่มพบเจอผู้คนทำให้เราหล่อหลอม เราก็เริ่มศึกษา เริ่มลองซื้อเสื้อผ้า เริ่มแต่งตัว หลัง ๆ เราก็สนุกกับการแต่งตัว มันก็ค่อย ๆ ซึมซับเรามาเรื่อย ๆ
MF: ไอเทมที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมีชิ้นนี้
นนน: กระเป๋าครับ เมื่อก่อนไม่มีกระเป๋าเพราะว่าเราไม่พกอะไรเลย เวลาไปกองกับแม่ก็เอาไว้กับแม่ทุกอย่างเลย หลัง ๆ เราเริ่มใช้ชีวิตคนเดียวได้บ้างแล้วก็เลยต้องมีกระเป๋า ฟังก์ชั่นกระเป๋าอย่างแรกเลยที่ต้องมีคือใส่สมุดจดได้ เพราะผมไม่สามารถใช้ iPad ได้ ผมพยายามใช้แล้วแต่ว่าไม่สามารถจริง ๆ (หัวเราะ)
MF: ฝากผลงานได้เลยย
นนน: ปีหน้าก็จะมีอัลบั้มเต็มครับ มีซีรีส์ปีหน้า ส่วน Scarlet Heart Thailand จะได้ดูอีกปีนึงนะครับ ถ้าผมหายไปก็อย่าแปลกใจนะครับ จะไปอยู่ที่กอง Scarlet Heart Thailand นี่แหละครับ เพราะว่าค่อนข้างโหด ปกติถ่ายแค่ 30 คิว ผมว่าเรื่องนี้น่าจะถ่าย 2 – 3 เท่าเลย ด้วยคิวทุกคนที่ค่อนข้างงานเยอะ ฝาก Scarlet Heart Thailand ด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมและทีมงานด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
Photographer: Perakorn Voratananchai