นิยามความเป็นตัวตนที่ไม่มีวันตายตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ชีวิต พบกับ เก่ง หฤษฎ์ Cover Star คนใหม่ของ Men’s Folio ในฉบับที่สาม
แม้จะเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการแต่ก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเองพร้อมที่จะเรียนรู้ ปรับตัวในทุกสถานการณ์ที่เข้ามา และ ‘วิมานหนาม’ ก้าวแรกบนเส้นทางการแสดงที่ไม่เพียงแต่ท้าทายความสามารถ แต่ยังสะท้อนถึงตัวตน ความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ เราได้มีโอกาสจับเข่าคุยอย่างใกล้ชิดกับ เก่ง หฤษฎ์ ก่อนการถ่ายปกจะเริ่มต้นขึ้นในบรรยากาศสบาย ๆ และเป็นกันเอง แม้จะมีเวลาไม่มากนัก แต่ในการสนทนาครั้งนี้ก็ทำให้ได้รู้จักกับตัวตนของเขามากขึ้นและได้พบกับมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
MF: นิยามความเป็นเก่ง
เก่ง: จริง ๆ เก่งไม่ค่อยมีคำนิยามแบบตายตัวเท่าไหร่ รู้สึกว่าคำนิยามมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เก่งคิดว่ามันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่เราเจอในแต่ละช่วงเวลา อย่างช่วงก่อนที่จะเข้ามาในวงการ เรารู้ว่าเรามีเป้าหมายคือการเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง เก่งก็นิยามว่าตัวเองเป็นคนอดทน เรารู้สึกว่าต้องอดทนเพื่อที่จะรอช่วงเวลาหนึ่งที่เราจะได้เข้ามาทำงานในวงการ เพราะจริง ๆ แล้วเก่งพยายามมาตั้งแต่ปี 1 แต่ก็ยังเข้ามาไม่ได้สักที เลยคิดว่ามันไม่ใช่ทางของเรา พอโอกาสสุดท้ายที่เข้ามาเราเลยรู้สึกว่าต้องคว้าไว้ แล้วอดทนอีกนิดเพื่อรอดูว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงแต่พอเก่งได้เข้ามาในวงการก็นิยามตัวเองเป็นอีกแบบหลังจากผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว เก่งนิยามว่าตัวเองเป็น ‘เป็ด’ เพราะเก่งได้เจอพี่ตั้ง TangBadVoiceแล้วก็ได้คุยกัน ได้ไปนั่งดูสัมภาษณ์ พี่ตั้งบอกว่าทุกคนชอบเรียกพี่เขาว่าเป็ด
ที่ทำได้ทุกอย่างเลย เก่งทุกอย่างเลย ส่วนเก่งพอได้เข้ามาอยู่ในวงการก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากทำได้ทุกอย่าง เปิดรับทุกอย่าง พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่างก็เลยเรียกตัวเองว่า เป็ด ครับ
MF: อะไรคือสิ่งที่จุดประกายให้เก่งเข้ามารับงานแสดง
เก่ง: หลัก ๆ เลยเป็นเรื่องของครอบครัว ด้วยความที่ครอบครัวเก่งมีฐานะปานกลางที่ค่อนลงมา ตอนเด็ก ๆ เก่งไม่ได้คิดว่าตัวเองขาดเหลืออะไรเลยเป็นชีวิตที่ดีมาก แล้วพอเริ่มโตขึ้นเก่งอยากให้ครอบครัวดีขึ้นกว่านี้ แล้วอีกอย่างที่เราสนใจในเรื่องการแสดงเรื่องร้องเพลงเป็นสิ่งที่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักแสดง อยากเป็นนักร้อง ก็เลยเป็นสิ่งที่จุดประกายครับ
MF: ผลงานที่ผ่านมามีทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ มีวิธีเข้าถึงบทบาทยังไงบ้าง
เก่ง: เอาจริง ๆ ตอนนี้มีแค่ภาพยนตร์เลย เพราะตัวซีรีส์เพิ่งปล่อยออกมาเป็น pilot แค่ 11 นาที อย่างภาพยนตร์ก็คือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเก่งเก่งไม่ได้มีศาสตร์การแสดงเลย อาจจะมีช่วงแรกที่ได้เรียนกับพี่เจี๊ยบผู้จัดการของพี่อนันดาได้ปูพื้นฐาน พอได้รับโปรเจกต์ก็มีเรียนกับคุณครูหลายท่าน ครูร่ม ครูกล้า แล้วก็ได้เวิร์กช็อปกับพี่นัตตี้ แต่ทั้งหมดมันค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในตัวเรา
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ศาสตร์การแสดงของเก่งดีขึ้น แล้วตัวเราก็รู้ตัวขึ้น รู้ว่าเราจะเล่นยังไงก็คือพี่บอส ส่วนมากพี่บอสจะคอยบิลด์เป็นคนไดเรกชันให้ว่าเก่งต้องทำยังไงแบบไหน แล้วเราก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับมันไปทีละซีน ด้วยความที่ภาพยนตร์มันคล้ายกันกับเก่งมาก ๆ แทบจะเป็นตัวเก่ง 100% ก็เลยทำให้เราเชื่อว่า จิ่งนะ คือตัวเราจริง ๆ มันค่อนข้างใช้ความเชื่อ ใช้จิตวิญญาณของนักสู้ว่าทำยังไงให้เรารอดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้ เราแสดงออกมากับรุ่นพี่ไม่ว่าจะเป็นพี่เจฟ พี่อิงฟ้า แม่สีดา พี่เต้ย ให้มันออกมาแล้วเขาทำงานร่วมกับเราได้ง่ายที่สุด มันเป็นสัญชาตญาณมั้งครับ



MF: รู้สึกยังไงกับการได้รับบท จิ่งนะ ในภาพยนตร์ วิมานหนาม
เก่ง: รู้สึกดีใจมาก ๆ เลยครับ ครั้งแรกที่พี่ออมแคสติ้งติดต่อมาให้เก่งลองไป
แคสดูด้วยความที่เราดูหนัง gdh มาตั้งแต่เด็ก เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้บทนี้นะแค่เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งในขั้นตอนของทาง gdh เราก็ดีใจแล้วแต่พอผลออกมาว่าเราได้ก็ตกใจมาก ๆ แล้วเราก็ได้ดูบททั้งหมดก็ยังถามพี่บอสอยู่เลยว่าเอาจริงเหรอจะให้บทนี้กับผมจริง ๆ เหรอ เพราะว่าด้วยตัวบทมันค่อนข้างที่จะมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ระดับนึงเลย ก็ถ้าพี่บอสเชื่อใจผมก็จะทำให้ดี ให้สมกับคุณค่าที่พี่บอสเชื่อใจแน่นอน
MF: เก่งเคยบอกว่า จิ่งนะ ใกล้เคียงกับชีวิตของตัวเองในบางแง่มุม
เก่ง: ก็เป็นในเรื่องของ mindset ด้วยครับ ด้วยความที่จิ่งนะก็จะมีแววตาความเป็นนักสู้อยู่ แต่ก็มีบางมุมที่อ่อนแอเหมือนกันกับเก่ง อีกอย่างคือเก่งเป็นเด็กชายขอบเป็นเด็กต่างจังหวัด จิ่งนะก็เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน วิถีชีวิตการใช้ชีวิตค่อนข้างใกล้เคียงกับเก่งเหมือนกัน แล้วก็มีหลาย ๆ อย่างเลย จิ่งนะมีพี่สาว เก่งก็มีพี่สาว ก็เลยทำให้เราอินกับตัวละครมาก ๆ ด้วยความที่มันเหมือนกับชีวิตเราจริง ๆ
MF: ได้ร่วมงานกับ เจฟ และ อิงฟ้า เป็นยังไงบ้าง
เก่ง: พี่อิงฟ้าก่อนเลย วันแรกที่เจอพี่อิงฟ้าที่เวิร์กช็อป เก่งตื่นเต้นมาก ๆ เรารู้จักพี่อิงฟ้ามานานมากด้วยความที่พี่อิงฟ้าเขาเป็นสตาร์ แล้วเราก็ติดตามผลงานพี่ฟ้ามา วันแรกที่เจอพี่ฟ้าน่ารักมาก ๆ ได้เปิดใจคุยกันเยอะมาก แล้วเก่งรู้สึกว่าพี่ฟ้าเหมือนพี่สาวของเก่งจริง ๆ ตอนที่ได้คุยกันเล่าว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ผ่านอะไรมาบ้าง พี่ฟ้าเป็นคนที่เก่งมาก ๆ คอยถามไถ่น้องตลอด แม้แต่วันที่เก่งถ่ายแล้วมี
อุบัติเหตุเล็กน้อย เก่งต้องเข้าโรงพยาบาล พี่ฟ้าก็ทักมาถามว่า หนูเป็นยังไงบ้าง โอเคขึ้นรึยัง ก็เหมือนพี่สาวเก่งมาก ๆ ส่วนพี่เจฟคือเซอร์ไพรส์เหมือนกันก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้ร่วมงานกัน เราฟังเพลงพี่เจฟมาเยอะมากตั้งแต่ซีรีส์ที่พี่เจฟร้องเพลงประกอบออกมาแล้วเราก็ฟังเพลงพี่เขามาตลอด ชอบเสียงพี่เจฟมาก ๆ ครับ วันแรกที่ได้เจอกันพี่เขาไนซ์มาก เฟรนด์ลี่มากก็เข้ามาคุย เก่งจำได้ว่าตอนถ่ายเป็นซีนแรกที่เล่นแล้วเก่งเกร็งมาก ๆ เป็นการถ่ายซีนแรกในภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยมันคิดอะไรหลายอย่างเต็มไปหมดเลย ทำออกมาได้ไม่ค่อยดีพี่เจฟก็บอกว่าเก่งเป็นตัวเก่งได้เลย เก่งสบาย ๆ เก่งแค่อยู่กับพี่แล้วเดี๋ยวเราไปด้วยกันแค่นั้นเลย แล้วซีนนั้นมันก็ออกมาดีจริง ๆ รีแลกซ์มาก ๆ มันคือตัวจิ่งนะจริง ๆ จิ่งนะกับทองคำที่อยู่ตรงนั้นมันเป็นเมจิกโมเมนต์สุด ๆ เลยครับสำหรับซีนนั้น



MF: ในอนาคตมีใครที่อยากร่วมงานด้วยอีกบ้าง
เก่ง: เก่งชอบพี่โอ้ครับ พี่มาริโอ้ เมาเร่อ ชอบพี่โอ้มาตั้งแต่ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก แล้วก็ รักแห่งสยาม ดูบ่อยมากทั้ง 2 เรื่องนี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากร่วมงานกับพี่โอ้ครับ แล้วก็มีพี่อนันดาครับ พี่อนันดาเล่นเก่งมาก ถ้าเป็นในสายนักร้องก็มีพี่นนท์ ธนนท์ เก่งชอบพี่นนท์มาก มีพี่เจฟฟ์ที่เป็นหนึ่งในนั้น
MF: ไอดอลของเก่งคือใคร
เก่ง: ก็ต้องเป็นพี่โอ้ครับ เก่งรู้สึกว่าพี่โอ้เป็นคนที่สุภาพมาก ๆ เขามีความเป็นตัวเองสูงมากแล้วก็ให้เกียรติผู้อื่นตลอด น่ารัก เฟรนด์ลี่กับแฟนคลับทุกคน กับพี่ ๆ ทุกคน แล้วก็รู้สึกว่าเขาบาลานซ์การใช้ชีวิตดีมาก ๆ ส่วนงานแสดงพี่โอ้แสดงจนเราเชื่อว่าเขาคือตัวละครนั้นจริง ๆ เลย ไม่ว่าจะ รักแห่งสยาม หรือ สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก แทบจะเป็นคนละคนกันเลย เก่งมาก ๆ ครับ
MF: ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงจะทำอาชีพอะไร
เก่ง: ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงก็เป็นครูครับ เพราะเก่งเรียนครูมา เก่งชอบอยู่กับเด็ก ๆ ชอบเฝ้ามองเด็ก ๆ ที่เขาเรียนจบจากเราไปแล้วจะมีอนาคตยังไงเขาจะเติบโตไปในทางที่ดีในอนาคตของเขามั้ย ด้วยความที่เก่งเรียนครูมามันจะมีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่ที่เราอยากเห็นลูกศิษย์ของเราเติบโตไปเรื่อย ๆ สมมติว่าเราแก่มาเราก็จะมีลูกศิษย์ที่ทำงานอยู่ตรงนี้นะ มีครอบครัวอยู่ตรงนี้ หรือบางคนไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้นแต่อยู่กับครอบครัวมีความสุข แค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ
MF: เป้าหมายของเก่งในวันนี้ต่างไปจากเดิมไหม
เก่ง: เป้าหมายของเก่งต่างจากเดิมมาก ๆ ครับ ในช่วงเรียนเก่งโฟกัสกับการเป็นครูมาก ๆ แล้วก็จะมีพารตที่เราต้องดิ้นรนต้องหารายได้ต้องซัพพอร์ตในเรื่องของการเรียน เราไม่อยากรบกวนพ่อแม่ มันก็คือการที่เก่งพยายามเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง พยายามหารายได้จากวงการบันเทิงให้ได้เยอะที่สุด ทุกโอกาสที่เข้ามาเราพยายามรับให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ซัพพอร์ตในเรื่องของการเรียนของเรา
จะได้ไม่รบกวนพ่อแม่ เก่งอยากเป็นครูสอนเด็กบนดอย อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้คือเก่งอยากเฝ้าดูการเติบโตของเด็ก ๆ อย่างน้อยเราได้ซัพพอร์ตเขา ได้แนะนำวิธีการใช้ชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับเด็ก ๆ มันเป็นความสุขที่อาจจะไม่ได้เยอะแต่เป็นความสุขที่เติมเต็มให้กับตัวเรากับเด็ก ๆ ไปเรื่อย ๆส่วนพาร์ตที่เก่งได้เข้ามาอยู่ในวงการก็แตกต่างเหมือนกัน เริ่มแรกเก่งรู้สึกว่าตอนที่เข้ามา เก่งโฟกัสแค่ตัวเองอย่างเดียว โฟกัสแค่ว่าเรามีผลงานเพื่อที่จะทำให้ครอบครัวเราสบายขึ้น ทำให้ครอบครัวเรามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่พอได้เริ่มทำงานได้มีพี่ ๆ แฟนคลับเข้ามา พาร์ตครอบครัวเริ่มโอเคขึ้น มันก็จะมีเป้าหมายที่ต่างออกไปคือการที่เราได้เห็นพี่ ๆ ทุกคนที่ซัพพอร์ตเรา เสพผลงานเราแล้วเขาได้รับอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาได้มีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไป หรือมีแรงทำงานในวันรุ่งขึ้น มันก็เป็นเป้าหมายที่เก่งคิดว่ามันเป็นโกลสำคัญที่เก่งสามารถยืนในวงการได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ขับเคลื่อนมันไปเพื่อที่จะให้พี่ ๆ แฟนคลับได้รับสิ่งที่ดีที่สุดต่อไปอีกเรื่อย ๆ สร้างผลงานดี ๆ ให้เขาได้เสพได้ดูได้ชมต่อไปครับ



MF: Bucket List 1 อย่างที่ต้องทำให้ได้ในชีวิตนี้
เก่ง: เก่งอยากขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวรอบโลกครับ เป็นความฝันที่เก่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่าแต่ก็วางไว้ไกล ๆ เลย อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ในตอนนั้นเราไม่ต้องคิดอะไรทั้งเรื่องของเงิน เรื่องของครอบครัว ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะมากมายน่าจะเป็นการให้รางวัลชีวิตอย่างหนึ่งที่เก่งวางไว้ใหญ่ ๆ เลย อาจจะเที่ยวแบบไม่ได้ขับมอเตอร์ไซค์อาจจะต่างประเทศหรือเที่ยวในประเทศไทย จริง ๆ เก่งอยากไป
ประเทศอังกฤษครับ อยากไปดูบอลเพราะเก่งเชียร์ทีม Liverpool ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปอยู่ที่อังกฤษ (หัวเราะ) อยากตื่นมาเช้าวันเสาร์หรืออาทิตย์แล้วไปดูบอลครับ
MF: เรื่องของแฟชั่นการแต่งตัวล่ะ
เก่ง: เอาจริง ๆ เก่งเป็นคนที่ชอบแฟชั่นมาก ๆ เป็นคนที่ชอบการถ่ายแบบ ด้วยความที่เก่งเริ่มต้นในวงการมาจากการถ่ายแบบโฆษณา มันเหมือนเป็นอาชีพแรกที่ได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่กลับกันในชีวิตจริงเก่งไม่ค่อยมีเทสในการแต่งตัวเท่าไหร่ (หัวเราะ) ด้วยความที่เก่งเป็นคนสบาย ๆ หยิบตัวไหนได้ก็ใส่เลย จะไม่ค่อยแมตช์แต่หลัง ๆ เราก็เริ่มปรับแล้วเริ่มดูคู่สีบ้าง ดูแอ็กเซสเซอรี่บ้างอย่าง สร้อย นาฬิกา แหวน อะไรแบบนี้ครับ ก็เริ่มศึกษาเรื่องแฟชั่น เรื่องการโพสต์รูปลงไอจีครับ
MF: ไอเทมที่ขาดไม่ได้
เก่ง: ช่วงนี้ก็น่าจะเป็นหมวก แบบหมวกแก๊ปครับ
MF: นาฬิกาแบบไหนที่เป็นสไตล์เรา
เก่ง: เก่งชอบนาฬิกาสไตล์แบบลักชัวรี่ครับ เก่งชอบนาฬิกาที่เป็นสายสเตนเลส หน้าปัดกลม ๆ หรือเป็นเหลี่ยมแบน ๆ ที่มันดูมีความเรียบหรู ใส่สบาย ๆ หน่อยแต่ก็ใส่ได้กับทุกงานครับ



MF: 3 อันดับภาพยนตร์ที่ชอบ
เก่ง: วิมานหนาม, สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก, Titanic
MF: ภาพยนตร์ที่ดูแล้วสร้างแรงบันดาลใจ
เก่ง: Forrest Gump เพราะว่าพาร์ตในชีวิตของคนคนนึงมันมีหลายอย่าง เหมือนเราอยู่กับตัวละครนั้น เติบโตไปเรื่อย ๆ มีชีวิตที่มันแตกต่างกันเหมือนรถไฟเหาะ
MF: ชอบดูภาพยนตร์แนวไหน
เก่ง: เก่งชอบดูดราม่าครับ เก่งชอบร้องไห้คนเดียว การได้ร้องไห้เหมือนเราได้เป็นเด็กอีกครั้ง ได้ปลดปล่อยบางอย่างที่อยู่ในใจ ส่วนหนังดราม่าที่ชอบ ขวัญเรียม
MF: ชอบดูภาพยนตร์ในโรง หรือสตรีมมิ่ง
เก่ง: ชอบดูในโรงภาพยนตร์ ดูในโรงมันสะใจดี ภาพมันใหญ่ เสียงมันเต็ม
ให้ความรู้สึกที่เหมือนอยู่คนเดียวแต่ไม่ได้อยู่คนเดียว
MF: ไอเทมที่ขาดไม่ได้เมื่อต้องออกจากบ้าน
เก่ง: ช่วงนี้ก็เป็นกระเป๋าครับ
MF: ถ้ามีเวลา 1 วัน จะทำอะไร
เก่ง: อยากนอนเฉย ๆ ดูซีรีส์์ กินขนม

