
MF: รู้สึกยังไงบ้างกับฉายา “พระเอกร้อยอารมณ์”
ตรี: (หัวเราะ) ก็รู้สึกตีความได้สองแบบนะฮะ แบบแรกก็เป็นแบบที่ดี แบบที่สองนี่เขาว่าเรารึเปล่า เป็นไบโพลาร์รึเปล่า ไม่ใช่ แซวเล่น (หัวเราะ) ก็ดีใจครับ ถือว่าเป็นคำชมแล้วกันครับ ร้อยอารมณ์ในที่นี้ ผมก็ตีความเป็นว่าเราเล่นได้หลายๆ แบบ มีอีโมชันแนลที่กว้างแล้วไปได้หลากหลายอารมณ์ ก็ดีใจครับ ดีใจที่คนรับรู้และเข้าถึงในสิ่งที่เราแสดงออกไป
MF: ตรีผ่านการแสดงมาหลายแนว ทั้ง Comady, Romantic, Drama ชอบแนวไหนที่สุด
ตรี: จริงๆ เป็นดราม่าซะเยอะ โรแมนติกอาจมีบ้าง ดราม่า โรแมนติกอะไรงี้ Comedy น้อยมาก แทบจะไม่มีเลย คือก็ได้เล่นแต่ดราม่า ก็คงตอบไม่ได้ครับ (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะเราถนัดพวกเรื่องดราม่า หรือเรื่องที่มันดีพๆ ลึกๆ อะไรด้วยครับ แต่ถ้าถามส่วนตัวตอนนี้ก็อยากจะเล่นอะไรเบาๆ อย่างพวก Romantic Comedy รอมคอม แล้วดราม่าอาจจะมาสอดแทรก ถ้าให้เลือก ณ ตอนนี้นะครับ
MF: เวลาจะเข้าถึงตัวละครนึง ตรีใช้ Method หรือวิธีเข้าถึงบทบาทแบบไหน
ตรี: อืม… จริงๆ ก็ต้องถามตัวเองก่อน อ่านบท ถามตัวเอง แล้วก็ตกลงกับตัวเองก่อน ว่าเรากำลังจะไปเป็นเขาเนี่ย เขาเป็นใคร มาจากไหน ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ก็ทำความรู้จักเขาก่อนอย่างแรก แล้วก็อ่านจากบทต่อ ถ้ามีตรงไหนไม่เก็ท หรือว่าเราสร้างตัวละครขึ้นมาแล้ว ทีนี้ก็จะเอาไปคุยกับผู้กำกับ คนเขียนบท แล้วก็แอคติ้งโค้ชครับ


MF: แล้วคือตัวเองจะเข้าไปเป็นตัวละครร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไหม หรือเจอกันคนละครึ่ง
ตรี: ต้องเป็นร้อยครับ ณ ฐานะตอนที่เราเป็นตัวละคร ก็ต้องเป็นเขาให้ร้อยโดยที่ไม่มีเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นเลยครับ
MF: แล้วจริง ๆ ผู้ชายที่ชื่อ “ตรี ภรภัทร” เป็นคนยังไง
ตรี: เข้าถึงยากมั้งครับเอาจริงๆ แล้วอะ ก็เป็นคนโลกส่วนตัวค่อนข้างจะสูง คือเปิดนะ เปิดให้คนเข้ามานะ แต่ถ้าแบบตัวตนจริงๆ แล้วอาจจะมีโลกส่วนตัวสูงหน่อยครับ แต่ว่าเวลาอยู่กับคนอื่น เราก็จะมีตัวรับแขกที่ไม่ได้แกล้งทำ แต่เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ หน้าที่ของตัวนี้ทำอะไร ตัวนั้นทำอะไร ถ้าถามผมจริงๆ แล้วก็เป็นคนจริงจังกับการทำงานครับ ค่อนข้างจะจริงจังกับทุกๆ เรื่องที่ทำ จะเป็นคนมีเหตุผลตลอด ถ้าจำกัดความง่ายๆ คือ “ผ่อนน้อย” แบบนี้ดีกว่า (MF: ผ่อนน้อย?) ไม่ค่อยผ่อน ก็คือผ่อนน้อย (หัวเราะ)


MF: มีหนังหรือซีรีส์โปรดที่ชอบดูซ้ำๆ หรือดูเวลาอยากได้แรงบันดาลใจไหม
ตรี: ตอนเด็กๆ มีครับ ตอนโตไม่ค่อยมีแล้ว ผมดู “Harry Potter” ครับ ดูได้เป็นสิบรอบ แล้วก็จำได้ในทุกๆ ภาค น่าจะดูภาคละสิบรอบได้ ตอนเด็กๆ มันไม่ได้มีพวกโซเชียลมีเดียเยอะขนาดนี้ ดูหนังก็ต้องซื้อ DVD
MF: แล้วมีอะไรดึงดูดให้เราดูได้เป็นสิบๆ รอบในตอนนั้น
ตรี: จินตนาการมั้งครับ ก็คือมันก็เป็นจินตนาการอยู่ในโลกพ่อมดแม่มด แล้วเรารู้สึกว่าอยากเป็น อยากไป อยากเห็น อะไรงี้ จินตนาการมันทำให้เราหลุดกรอบ ตอนดูก็คงสบาย โล่งดี กับโลกที่มันอยู่ตรงโน้น ถ้าถามตอนโต ตอนนี้ ก็คงไม่ได้มีเรื่องอะไรที่สามารถดูซ้ำแล้วอินสไปร์ได้ คงไม่มีแรงบันดาลใจอย่างงั้น แต่ถ้าถามว่าดูหนังเพื่อเสพเอาไปใช้ในหน้าที่การงานไหม ใช่ครับ ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนั้น

MF: ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องที่ชอบไหม ในตอนโต
ตรี: ล่าสุดที่ดูจบไปเป็นเกาหลีนะครับ ก็เป็น “Queen of Tears” ที่ดูจบไป แล้วก็จะเป็นหนังอังกฤษครับ เกี่ยวกับลูกคนรวย เกี่ยวกับ Duke ก็เป็นคนละแนวกัน คือไม่ใช่แนวโรแมนติก จะเป็นแบบวัยรุ่นๆ หน่อย แบบว่า 18+ หน่อย ชื่อเรื่อง “The Gentlemen” ครับ แล้วก็ “Game of Thrones” อะไรงี้ก็ชอบ
MF: แปลว่าจริงๆ คือดูได้หลากหลายแนว?
ตรี: ดูได้หลากหลายครับ (MF: แต่เหมือนติดดราม่านิดนึง?) แล้วแต่อารมณ์ดีกว่า ดราม่าก็ดูได้ครับ ดูแล้วก็ร้องไห้ “Queen of Tears” นี่ก็ดราม่าหนัก

MF: ตอนนี้ตรีมีอะไรที่กำลังอยู่บ้าง แชร์ให้เราฟังหน่อยได้ไหม
ตรี: ตอนนี้ไม่อินอะไรเลยครับ ตอนนี้เป็นช่วงพักจากทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ว่างๆ ก็อยู่กับตัวเอง (MF: งั้นเรียกว่าอินกับการฮีลตัวเองอยู่?) ประมาณนั้น อินกับการพักผ่อน อยู่บ้าน ถ้าถามอินอะไร ก็ไม่ค่อยมีอะไรที่อินและอยากทำขนาดนั้นครับตอนนี้ ก็อยู่บ้าน ใช้ชีวิตแบบพักผ่อน ดูซีรีส์ ให้อาหารปลา เลี้ยงสุนัข ก็ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปปกติที่แบบเหมือนฮอลิเดย์ที่ได้หยุด (MF: อาจเพราะก่อนหน้านี้ทำงานหนัก?) ก็ด้วยครับ ทำงานหนัก ค่อนข้างจะเครียด
MF: แปลว่าถ้ามีเวลาพักผ่อนก็จะชอบทำกิจกรรมอยู่บ้านมากกว่าออกไปพักผ่อนข้างนอก?
ตรี: แล้วแต่อารมณ์ คือทุกอย่างมันอยู่ที่สถานการณ์ อยู่ที่อารมณ์ ณ ตอนนั้นอยากทำอะไร แต่ถ้าถามอารมณ์ปกติ คือเลือกอยู่บ้านครับ (MF: เรียกว่าเป็นมนุษย์ติดบ้านได้ไหม) ก็ไม่เชิงนะครับ คือแล้วแต่อารมณ์เลยจริงๆ คือออกไปข้างนอกก็ได้ แต่บางทีอยู่บ้านก็ไม่ค่อยเจอคนวุ่นวายอะไรงี้ ไม่ใช่ไม่ชอบเจอคนนะ แต่บางทีเวลาเราไปคนเยอะๆ แย่งที่จอดรถ แย่งกินข้าว แย่งทำอะไรแบบเนี้ย เราจะไม่ชอบ
MF: คิดว่าถ้าไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ตอนนี้จะทำอาชีพอะไร
ตรี: ตอนนี้เหรอฮะ อาจจะ… ขายของมั้งครับ ค้าขาย ธุรกิจที่บ้าน หรือไม่ก็ เอ่อ… ทำยูทูบมั้ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอบไม่ได้จริงๆ ว่าจะทำอะไรอยู่ (MF: ถ้างั้นยูทูบที่บอก ถ้าทำ จะเป็นแนวไหน) ถ้าเราไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักแสดง ไม่ใช่คนของประชาชน ก็คงทำอะไรที่มันหลุดๆ ให้คนมาดูเยอะๆ ครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องจริงที่คนชอบดูหลุดๆ เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องเครียด ก็ปล่อยกับ perception กับสิ่งที่เราเห็น แล้วก็ฟีลไปกับเขา จอยไป ทำเรื่องบ้าๆ บอๆ หลุดๆ ก็น่าจะดีเพราะคนชอบดู อย่างเราเองยังชอบดูเลย บางทีเราเจอเรื่องเครียดๆ หนักๆ มาเจอคนผ่อนคลาย ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อาจจะบ้าก็จริง แต่มันเป็นสิ่งที่แบบ… เออ แปลกดี สนุกดี คลายเครียดได้และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็น่าจะโอเคครับ


MF: แปลว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็อาจเป็นคนที่มีฟีลชอบทำอะไรบ้าๆ เหมือนกัน?
ตรี: จริงๆ ผมก็เป็นคนที่แบบ… ไม่ได้เป็นผู้ชายที่… ร้อยอารมณ์อ่ะถูกแล้วครับ (หัวเราะ) ผมว่าผมมีหลายๆ อย่างในตัว บางทีก็ชอบนู่น ชอบนั่น ชอบนี่ บางทีก็ไม่ได้ชอบ แล้วแต่อารมณ์เลยจริงๆ
MF: ตรีวางเป้าหมายในวงการบันเทิงไว้ยังไงบ้าง
ตรี: ไม่ได้วางเลยครับ ไปเรื่อยๆ จะโฟลว์ไม่โฟลว์ไม่รู้นะ ก็เรียกว่าทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแล้วกัน อนาคตเป็นเรื่องของอนาคต ก็ถ้าถามว่ามองอนาคตยังไง ก็อาจจะไม่ได้มองว่าเราต้องเล่นละครตลอดไป อาจจะไปมองว่าจะใช้ชีวิตในอนาคตยังไงดีกว่า แบบ… โตขึ้นไปอายุเท่านี้จะทำอะไร มีครอบครัวไหม จะเจอใครไหม หรือว่าจะวางแผนชีวิตยังไง แบบนี้ ผมก็ไม่ได้มองว่า “เฮ้ย เราจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” ผมไปมองว่าเกิดมาทั้งทีเนี่ย ชีวิตนี้ได้ทำอะไรบ้าง โอเค สิบปีนี้คุณอยู่ตรงนี้ สิบปีนี้คุณอยู่ตรงนั้น ยี่สิบปีอยู่ตรงนี้ อะไรงี้ ผมว่าชีวิตมันก็เหมือนการจดไดอารี จดบันทึก ถ้าพูดอีกแบบ เกิดมาคนเดียวเราไปก็ไปคนเดียวอยู่ดี ที่เหลือทิ้งไว้ได้ก็แค่ความดี หรือว่าสิ่งที่ทำ เหมือนปลงเนอะ (หัวเราะ) แล้วแต่อารมณ์จริงๆ บางทีก็ไม่มีอะไรแบบนี้ในหัว (หัวเราะ) พูดไปเรื่อย


MF: แล้วถ้าแบบนี้ มีหรือยังเป้าหมายชีวิตที่เห็นภาพแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้?
ตรี: คือ… เป้าหมายกับความคาดหวังไม่เหมือนกันเนอะ ของผมคงไม่มีภาพเป้าหมายในชีวิตที่แบบขนาดนั้น คือโอเค เรายอมรับว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรเยอะขนาดนั้น ภาระอาจจะไม่ได้เยอะ เป้าหมายในชีวิตเลยอาจจะไม่ได้เป็นรูปธรรมใหญ่ขนาดนั้น เป้าหมายของผมก็แค่แบบ… มีความสุขในทุกๆ วันให้มากที่สุด มีความสุขกับทุกๆ คนให้มากที่สุด มอบแต่สิ่งดีๆ กับทุกคนให้มากที่สุด คือบางครั้งที่เราเผลอทำอะไรที่ไม่ดี พูดอะไรที่ไม่ดีกับคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัว ถ้าเราตระหนักหรือคิดได้ เราควรจะขอโทษ แล้วมอบแต่สิ่งดีๆ ให้ดีกว่า บางทีมันอาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบ คือพยายามมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตดีกว่า คิดแค่นั้นเลย
ถ้าเป้าหมายคงไม่ได้แบบ “ขึ้นไปรับรางวัล” เมื่อก่อนมันอาจมีเป้าหมายในการ drive ในการทำงานว่าเราต้องเล่นละครให้ดี เล่นละครให้ดัง เพื่อจะได้ขึ้นไปรับรางวัล แต่ ณ โมเมนต์วันนี้คือ แค่เล่นละคร สนุกกับอาชีพของเรากับหน้าที่ของเรา กับการมอบความสนุกให้กับทุกคน มอบอรรถรส มอบความคิดดีๆ มอบสิ่งดีๆ ให้กับทุกคน แม้ว่าจะทำคนอื่นร้องไห้ ทำคนอื่นเกลียดจากบทบาท แต่มันก็เป็นการเพิ่มอรรถรส ให้เขามีสีสันในชีวิตมากขึ้น เพราะฉะนั้นก็ทำแต่สิ่งดีๆ
เป้าหมายคือแค่ทำให้มีละครแบบนี้ให้ได้อีกครั้ง ให้พาทีมงานและพาเราไปถึงจุดที่เราเคยไปในละคร “สงครามสมรส” ได้อีกครั้งก็มีความสุขแล้ว ทำให้คนพูดถึงละครของเรา เอนจอยกับผลงานของเรา และได้ความคิดจากผลงานของเรา ได้อรรถรส ได้ข้อคิดดีๆ แค่นี้ผมแฮปปี้เลย ไม่ได้มองถึงว่าแบบ “ต้องมีอย่างงั้น ต้องได้อย่างงี้” คือเลิกไปแล้ว ผมว่าเราทำด้วยความสนุกแล้วก็มอบแต่สิ่งดีๆ ดีกว่า ตั้งเป้าหมายแค่นี้เลย แล้วที่สำคัญ “ทำให้เต็มที่ เหมือนเป็นเรื่องสุดท้าย” ครับ
