จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักในเกมและได้ร่วมกันสร้าง Gamer Inside ช่องคอนเทนต์เกมที่ไม่เพียงแค่มอบความสนุก
แต่ยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึก ผ่านการค้นคว้าและการเล่าเรื่องอย่างพิถีพิถัน ทุกคลิปสะท้อนถึงความทุ่มเท ความหลงใหล และความมุ่งมั่นแม้ต้องเผชิญกับความกดดัน ความเหนื่อยล้า และช่วงเวลาที่หมดไฟ แต่พวกเขายังคงเดินหน้าต่อ เพื่อสร้างงานที่ทั้งตัวเองและผู้ชมภูมิใจ

MF: แนะนำตัวกับชาว Men’s Folio Thailand
Gamer Inside: สวัสดีครับผม มาร์ค เจ้าของช่อง Gamer Inside, สวัสดีครับ
ผมแมนนี่ หรือแมนเฉยๆ ก็ได้ครับ เป็น Co-Founder ที่จับพลัดจับผลูได้มารู้จักได้ร่วมงานกับพี่มาร์ค ได้ลงเสียง เป็นส่วนสำคัญของช่องครับ
MF: ที่มาของชื่อ Gamer inside
มาร์ค: จริงๆ ชื่อ Gamer inside มีมาตั้งแต่ผมทำช่องคนเดียว คือพยายามหาชื่อที่เป็น 2 พยางค์เพื่อที่จะได้เป็นตัวย่อง่ายๆ แต่สุดท้ายมาเป็นชื่อนี้ได้เพราะคิดว่าทุกคนในโลกน่าจะมีความเป็น Gamer ในตัวอยู่ คือเกมไม่ได้หมายถึงแค่ Vdo Game อย่างเดียว อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นการแข่งขันมันเป็นเกมเหมือนกันเลยได้ออกมาเป็น Gamer inside
MF: จุดเริ่มต้นของการรวมตัวกันจนเกิดเป็น Gamer inside
มาร์ค: จุดเริ่มต้นเลยคือผมได้ไปเจอกับก้องและเป็นคนแรกที่เข้ามาอยู่ในแก๊งด้วยความที่เล่นเกมด้วยกันในออนไลน์ก็คุยกันว่าน้องอยากทำอะไรสักอย่างก็เลยชวนมาทำเพจด้วยกันก่อน ตอนนั้นที่ทำเหมือนเป็น Hobby มากกว่า จนมาถึงช่วงที่เข้ามหาลัย แมนเป็นน้องเทคผม ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็เล่นเกมกัน เล่นเกมออนไลน์ทั่วๆ ไป แต่แมนคือเป็นคนที่คุยกันเรื่องเกมเยอะมาก แล้วรู้สึกว่าน้องเสียงดีก็เลยคุยกันว่าผมมี Gamer inside แล้วช่วงนั้น YouTube กำลังมา ผมก็มีช่องเอาไว้ลงคลิปอะไรง่ายๆ ขำๆ ตอนนั้นช่องในไทยมีรายการแคสเกมที่เล่นด้วย Play Station 2 เกมเนื้อเรื่อง แต่ว่าตอนนั้นที่คุยกันอยากได้ฟีลรายการมากกว่าเพราะติดมาจากรายการ G-square (แมน: คือตอนนั้นรายการมันไม่ค่อยเกี่ยวกับเกมแล้ว) เราก็เลยทำรายการกับแมนถ่ายกันในมหาวิทยาลัย ไปขอยืม Green Screen นั่งพูดคุย แบ่งช่วงรายการเป็นช่วงแรกอัปเดตข่าวเกม ช่วงสองรีวิวเกม สุดท้ายมหาลัยก็มาคุยว่ามันเป็นสิ่งที่ให้นักศึกษาทุกคนใช้ แต่เราทำงานนอกก็ทำได้อยู่ประมาณ 4 ตอนหลังจากนั้นก็กลับมาเป็นแค่คนรู้จักกันเฉยๆ จนได้กลับมาทำจริงจังอีกทีคือช่วงปี 2017 ครับ
MF: ในแต่ละคอนเทนต์ที่ทำมีวิธีคัดเลือกจากอะไร
มาร์ค: ช่วงแรกเอาจากที่ชอบที่รู้สึกว่ามันส์ ผมเคยทำงานทีวีมาก่อนทุกอย่างในช่องก็จะมีความเป็นทีวีอยู่ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าแต่ละคลิปมันจะมี intro มี interlude ขึ้น มี bar ขึ้นตลอดมีความเป็นทีวีมากเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่คนทำ YouTube ในไทยมันมีความดิบ เน้นง่ายเน้นไวเข้าถึงง่ายแต่เราชอบดูคอนเทนต์ที่เป็นรายการ เบสทุกอย่างจะเริ่มมาจากความชอบแต่ก่อนที่เราจะทำก็ต้องดูก่อนว่าเนื้อหาจะเป็นแบบไหนมีอะไรที่เราไม่เคยรู้มาก่อน พูดไปแล้วคนจะสนุกไปด้วย
MF: อย่างคลิปที่พินไว้ในช่องเห็นว่าความยาวถึง 8 ชั่วโมง
แมน: ประวัติศาสตร์สงครามคอนโซลเรารีเสิร์ชกันเยอะมากครับ เป็นส่วนหนึ่งของความมันส์แบบมันส์เกิน (หัวเราะ)
มาร์ค: ใช่ครับ เป็นส่วนหนึ่งของความมันส์แบบมันน่าจะสนุกดีก็เลยไปลองหาดูใน YouTube ว่ามีคนทำไปรึยังแต่ว่ายังไม่มีเลยทั้งในไทยและต่างประเทศก็เลยรู้สึกว่าน่าจะมีคนรวบรวมตรงนี้แบบทีเดียวจบ เราก็เลยมาลองทำกัน
MF: เคยมีช่วงที่รู้สึกหมดไฟกับวงการเกมไหม
แมน: มีบ่อยเลยครับ ตลอดเวลา ตลอดไป (หัวเราะ) ด้วยธรรมชาติของ Gamer inside เป็นงานที่หนักทั้งเรื่องเขียนแล้วก็เรื่องการรีเสิร์ชการค้นอะไรพวกนี้แล้วจะมีความรู้สึกว่ามันจะจบรึยัง เหมือนเหวที่ถมไม่เต็ม แต่ก็เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้วิธีแก้ก็ค่อยๆ กินช้าไปทีละคำก็ช่วยได้บ้าง
มาร์ค: ทุกครั้งที่ทำคลิปเสร็จจะรู้สึกหมดไฟ สุดท้ายแล้วพอมันหมดไฟไปสักพักเรารู้สึกว่าเราหนีตรงนี้ไปไม่พ้น เราคุยกันว่าจากตลาดที่มันนีชมากแล้วเราอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องการมีแสนซับให้ได้ก็ต้องโดดไปตลาดที่มันแมสกว่านี้ แล้วเราก็มาตกลงกันว่ามีอะไรที่เป็นตรงกลางระหว่างเราร่วมกันที่ชอบตรงกัน สุดท้ายก็เป็นเกมแต่ก็ยังนีชเหมือนเดิมแหละ (หัวเราะ) บางครั้งมันก็ทำงานด้วยความหมดไฟอยู่แต่พูดตามตรงก็คือเรายังต้องใช้เงิน ก็ต้องทำต่อไป (แมน: ถูกต้องเลยครับ) แต่ก็จะผ่านการเติมไฟด้วยอะไรบางอย่าง
ผมจะเติมด้วยการเจออะไรที่เราไม่เคยรู้มาก่อน อย่างการทำงานชิ้นใหม่ส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่รู้อะไรอยู่แล้วก็ไปค้นไปรีเสิร์ชแล้วเอามาเล่าดังนั้นจะมีอะไรหลายอย่างมากที่ตัวเองไม่รู้ พอได้รู้แล้วก็รู้สึกว่ามันเจ๋งนะเอามาใส่ในวิดีโอน่าจะสนุกนะ
แมน: มันเปลี่ยนแปลงไปตามอายุด้วย เมื่อก่อนผมมองว่าเจอของใหม่แล้วรู้สึกว่าแปลกใหม่ ผมทำเพื่อรอให้เกมมันน่าสนใจกว่านี้ก่อน บทบาทมันเปลี่ยนตอนนี้ทำต่อไปเรื่อยๆ บันทึกสิ่งนี้ไปในอนาคตมันอาจจะมีสิ่งที่ดีกว่าที่ลงล็อคกว่าแล้วเราจะรู้สึกตื่นเต้นกับมันเพราะว่าเรารู้จักประวัติมันไปแล้ว
มาร์ค: อีกส่วนนึงอาจจะเกิดจากความหงุดหงิดด้วยมั้งครับ เพราะว่าสื่อหลายๆ ที่ในเอเชียไม่มีการเก็บ archives ของอะไรเลย (แมน: โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวิดีโอเกม) ต่างกับฝั่งอเมริกา ยุโรปมาก มันสนุกที่ได้รู้เวลาทำของยุโรปแต่เวลาทำสื่อไทย ญี่ปุ่น เกาหลี มันสนุกตรงที่เราไปขุดเจอเองไม่มีใครบันทึกไว้เราไปแกะจากบทสัมภาษณ์สมมุติว่าพูดไป 10 นาที แต่ไปเจอสิ่งที่เราต้องการแค่ 10 วินาทีในนั้นเพื่อมาขยายความของเราอีกที
MF: ช่วงไหนที่กดดันที่สุดในฐานะคนทำคอนเทนต์เกี่ยวกับวงการเกม
มาร์ค: มันมีหลายช่วงนะ พอทำคอนเทนต์แต่ละเกมไปก็ต้องยอมรับว่าตลาดเกมในไทยมันเยอะและหลายครั้งก็จะโดนเปรียบเทียบ เป็นความกดดันที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่ปล่อยวิดีโอก็จะรู้สึกตื่นเต้นแบบบางทีข้อมูลอาจจะตกหล่นแล้วมีคนคอมเมนต์เข้ามามันจะนอยโดยอัตโนมัติว่าที่เราพูดออกไปมันถูกต้องทั้งหมดมั้ยเพราะเราก็มั่นใจมากแล้วว่าข้อมูลที่หามาได้มันถูกต้องแต่สุดท้ายมันก็จะมีบางคนที่เขาอาจจะจำช่วงเวลาตรงนั้นได้แต่เราไม่ได้จำเราแค่ไปหาข้อมูลมาบอกเล่าเฉยๆ
MF: เลือกวิดีโอในช่องที่ “ภูมิใจที่สุด” คุณจะเลือกคลิปไหน และเพราะอะไร
มาร์ค & แมน: Console Wars ครับ
มาร์ค: มันจะแยกกันครับระหว่าง ภูมิใจ กับ ชอบ ถ้าภูมิใจยังไงก็เป็น Console Wars เพราะว่าเป็นความรู้สึกที่บ้าพลังมันได้เติมเต็มอีโก้ตัวเองว่าเราทำขึ้นมาก่อนคนอื่น ใน Console Wars เราได้คนอื่นมาช่วยเยอะ พวกภาพ นักพากย์แขกรับเชิญ
แมน: เราได้ป๋าเอกที่เคยพากย์เสียง Dumbledore มาในคลิปนี้ด้วย
มาร์ค: มันเป็นความรู้สึกที่ได้ยกระดับความภูมิใจในตัวเองไปอีกขั้น บางคนอาจจะไม่ชอบแต่เราชอบ
MF: 1 เกมสุดโปรดตลอดกาล
แมน: ของผม Metal Gear Solid series ไม่ว่าจะภาคไหนได้หมดเลย
มาร์ค: ส่วนผมแล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็คงเป็น Parasite Eve เป็นเกมแบบ Sci-fi ซึ่งผมไม่ชอบเล่นเกมแนวนี้แต่ต้องบอกว่ามันผ่านประสบการณ์ร่วมมาเยอะ ตอนเด็กเราเล่นกับที่บ้านได้เห็นกราฟิกที่มันก้าวกระโดด ได้เห็นภาพที่เหมือนของจริงมากขึ้นแล้วมันมีหลายๆ อย่างอย่างเช่น ความสยองขวัญที่เราไม่สามารถจินตนาการได้ มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรารู้สึกว่าเข้าถึงมันได้มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับความจริงเลยประทับใจกับเกมนี้
MF: คิดยังไงกับประโยค “เด็กติดเกม”
แมน: น่าจะยังเป็นคนที่แบ่งเวลาไม่เป็นมากกว่า เพราะถ้าก้าวข้ามคำว่าติดหรือออกจากเกมไม่ได้มันจะกลายเป็นสื่อที่ยืนเด่นคู่กับสื่ออื่นเลย แล้วถ้าถึงจุดที่ก้าวข้ามความติดเนี่ยมันจะมองเห็นภูมิปัญญาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือภาพยนตร์อะไรพวกนี้ สุดท้ายมันตกที่ต้องก้าวข้ามคำว่าติดออกมาให้ได้ก่อน
มาร์ค: ผมแบ่งออกเป็น 2 อย่าง อย่างเราเรียกตัวเองว่าเด็กติดเกม อย่างเมื่อก่อนคือกลับมาบ้านเล่นเกมก็เล่นจนกว่าพ่อแม่จะไม่ให้เล่นแล้วค่อยเข้านอนดังนั้นมันจะมี 2 ระดับคือ ติดแบบเลิกไม่ได้กับติดแบบชอบเล่นเฉยๆ ถ้าติดแบบเลิกไม่ได้มันคือปัญหา ผมก็มีเพื่อนหลายคนที่เล่นจนเลิกไม่ได้ถึงขั้นเสียการเรียน แต่อย่างที่แมนบอกก็คือมันต้องก้าวข้ามไปให้ได้ พอถึงจุดนึงแล้วผู้ปกครองก็มีส่วนในการดูแล ยิ่งถ้าผู้ปกครองห้ามก็จะยิ่งเป็นตัวจุดไฟ มันขึ้นอยู่กับการหาตรงกลางว่าเรากำหนดเวลาเท่านี้พอมั้ย ส่วนผมสิ่งที่ทำให้เลิกติดเกมคือแม่พูดว่าเล่นเกมแต่ไม่เคยเห็นจบสักเกมเลยเล่นตั้งเยอะทำไมเล่นไม่จบเลย จากนั้นเราก็เลยเปลี่ยนจากติดมาตั้งเป้าหมายให้จบไปเป็นอย่างๆ พอจบตรงนั้นเราก็ไปหาอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาเล่นเกมใหม่แล้วก็เปลี่ยนเกมไปเรื่อยๆ (แมน: มันจะกลายเป็นเรียนรู้มากกว่าแค่เล่นเกม)
มาร์ค: ถ้าปัจจุบันที่เป็นเกมออนไลน์ ก็จะอ้างว่าเป็นการแข่ง E-Sport ซึ่งส่วนตัวผมเนี่ยถ้าลูกเก่งพอที่จะไปเป็นนักกีฬา E-Sport ได้มันต้องมีอะไรที่ถูกตั้งไว้แบบถ้าลูกทำได้ตรงนี้ในเวลาที่กำหนดมันก็อาจจะผ่านว่าลูกจะไปถึงระดับนั้นได้ ตัวอย่างก็น้องทรีที่เป็นนักกีฬา E-Sport แม่เขาก็ให้ออกจากโรงเรียนเพราะแม่ตั้งเอาไว้ว่าถ้าขึ้นไปถึงท็อปแรงค์ได้ในช่วงเวลาเท่านี้จะขอเล่นเกมต่อได้มั้ย
มันเป็นตรงกลางที่ดีที่ผู้ปกครองกับเด็กพูดคุยกันได้
แมน: ซึ่งมันยาก ต่อให้พ่อแม่เป็นคนในเจนนี้ก็ตามเพราะไม่เข้าใจว่าเกมคืออะไร
มาร์ค: ผมมองว่ามันติดได้แต่ว่าต้องหาประโยชน์จากตรงนั้นให้ได้ ว่าเราเล่นเกมเพื่ออะไร เด็กจะชอบอ้างว่าเล่นแล้วได้ภาษาอังกฤษคำถามคือมันได้จริงหรือเปล่ามันต้องมีการทดสอบว่าเล่นจบแล้วเราได้แค่ไหน ถ้าได้ก็เล่นต่อไปได้แค่นั้น
MF: คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่จะเข้าสู่วงการนี้
แมน: ถ้าเล่นเกมเฉยๆ เล่นไปเลย เล่นไปเถอะ
มาร์ค: อย่างที่แมนบอกไปก่อนหน้าว่าเกมมันก็เป็นแค่สื่อนึงเหมือนดูหนัง ถ้าแค่เล่นเกมก็แบ่งเวลาให้ได้ อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นรับผิดชอบตัวเองได้ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเข้ามาเป็นการเป็นงานว่าถ้าเป็นนักแข่ง E-Sport ต้องยอมรับเรื่อง Life Time มันสั้นกว่าอาชีพอื่นๆ พอเราไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้วเราต้องทำอะไรต่อ ระยะเวลาที่เราเป็นนักกีฬาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องไม่หลอกตัวเองเลยคือเราเก่งมากพอรึเปล่า ส่วนถ้าเป็นคอนเทนต์ด้านเกมก็ต้องดูว่าเราจริงจังแค่ไหน (แมน: รู้จริงแค่ไหน) เราพอที่จะให้เวลากับมันได้แค่ไหนเราอดทนพอมั้ยที่จะอดทนจนกว่าจะไปถึงจุดที่เราต้องการ
แมน: รับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้มั้ยเพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคอนเทนครีเอเตอร์สายเกมมันมีอะไรที่ต้องแลกมาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตกว่าจะเล่นจบแต่ละอย่างแล้วมารีวิว เรารับได้มั้ยกับคอมเมนต์ที่ได้รับมาแล้วเรารีแอคกลับไปยังไงบ้าง ส่วนตัวผมมองว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่มันต้องมีแผนสำรอง
